bar_chart
0
favorite
0
shopping_cart
0
ยังไม่มีสินค้าในตะกร้า.

รีวิว : Backpack “คนเดียว” โบกรถขึ้นดอยบุกป่าฝ่าฝนรับลมหนาวที่ (บ้านสายหมอก-ดอยชัวร์ญ่า-กิ่วแม่ปาน) 4วัน3คืนด้วยงบ 3500

calendar_month 08 ม.ค. 2016 / stylus Admin Chillpainai / visibility 71,829 / รีวิวที่เที่ยว


สวัสดีครับต้องขอบอกก่อนเลยว่ากระทู้นี้ เป็นกระทู้แรกของผมเลย ตื่นเต้นมากๆครับ เกริ่นก่อนเลยว่า ความรู้ในการ ไปเที่ยวคนเดียวหรือ Backpack ในเชียงใหม่ของผมนั้นเป็น 0 และเรื่องการเตรียมตัวก็เช่นกัน แต่ผมก็ยังอยากจะลอง Backpack คนเดียว แบบประหยัด สักครั้งในชีวิต เพื่อหาประสบการณ์ใหม่ๆ โดยในทริปนี้ สิ่งที่ผมได้พบและเจอ มันทำให้ผมได้ทั้งประสบการณ์ และมิตรภาพดีๆระหว่างทางมากมายจนลืมไม่ลงจริงๆ


ผมจึงเริ่มวางแผนแบบมั่วๆลวกๆโดยเร็ว  เริ่มจากการโทรไปจองที่พักที่ - บ้านสายหมอก - อยู่ที่เชียงดาว(ได้นอนเต้นท์) จากนั้นก็โทรจองรถทัวร์ เพื่อเดินทางไปเชียงใหม่  และจองตั๋วเครื่องบินขากลับที่เหลือก็พวกเตรียมตัวจัดของ โดยอุปกรณ์คู่กายในการถ่ายภาพในทริปนี้คือI Phone 6  และ กล้อง Canon 100D เลนส์ 18-55 STM ครับ จากนั้นก็ ศึกษาหาข้อมูลเบื้องต้น  พอพร้อมแล้วเราก็ออกลุย !
โดยแผนที่คิดไว้จะเป็นแบบนี้ครับ ผมเริ่มออกเดินทางในวันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2558 กลับวันที่ 12 พฤศจิกายน 2558


เริ่มกันเลยนะครับ ผมออกเดินทางออกจากกรุงเทพ โดยรถทัวร์ของ สมบัติทัวร์  ราคา 584 บาท เดินทางเวลา 20.10  - 05.10  แต่รถออกช้าครับ เวลาออกเลยเป็น 20.30 น.


ถึงแล้วครับ เชียงใหม่ผมมาถึงเวลา ตี 5 กว่าเกือบ 6 โมง โดยสถานีที่ผมมาลงก็คือ อาเขตครับ สิ่งที่ต้องไปต่อเท่าที่รู้ คือต้องไปขึ้นรถไปเชียงดาวที่ อาเขตช้างเผือก ครับผมจึงเดินออกมาโบกรถแดงที่เค้าร่ำลือ ถามไถ่บอกว่าไป ราคา 40 บาท  ตอนแรกไม่ทราบว่าเรทราคาเท่าไหร่แต่พอได้ไปจริงๆ วัดระยะทางในใจแล้ว ตูโดนหลอกแน่ๆ  แต่คิดในแง่ดี ถือซะว่า เป็นการเที่ยวชมเมืองเชียงใหม่เพราะพี่คนขับสาว ต้องไปส่งคนอื่นที่ขึ้นก่อนผม ที่ หนองหอย ก่อนครับ


เริ่มมีแสงแล้วครับ เช้าแล้ว ก็เห็นบรรยากาศชาวเชียงใหม่ ในตอนเช้าครับ


พอส่งพี่ๆ คนที่ขึ้นก่อนผมเสร็จ ก็ถึงคราวผมแล้วครับ ผมนั่งมองทาง และพยายามจะจำมัน ซึ่งบอกตรงๆผมลืมตั้งแต่เข้าซอยมาได้พักนึงแล้ว ฮ่าๆ เขาพาออกทางลัดมาถนนใหญ่ และวิ่งไปถึง อาเขตช้างเผือก ในเวลารวดเร็วลงรถพี่เขาก็ถามจะไปไหน ผมเองก็ตอบว่าจะไปเชียงดาว  เขาจึงบอกว่า “โชคดี'' และนี่คือ โฉมหน้ารถที่จะพาผมไปถึงเชียงดาว ผมว่าน่าจะใช่คันนี้นะ


ถามคนแถวนั้น  ว่าจะไปเชียงดาว เขาก็ชี้มาว่า ไปซื้อตั๋วตรงนู้น  รถ เชียงใหม่ - ท่าตอนผมจึงได้เดินมาจุดซื้อตั๋ว ก็มีคนเยอะอยู่เหมือนกันทั้งชาวต่างชาติและคน ไทยครับ

นี่ครับ ซื้อตั๋วตรงนี้  บอกว่าจะลงเชียงดาว รถออกกี่โมงครับ พี่แกตอบว่า จะออกแล้ว 7 โมง
ราคาตั๋ว 40 บาท  และระบุที่นั่งด้วย สำคัญมากนะครับ  เราต้องนั่งตามที่นั่งครับ ผมได้ที่นั่ง 28


นี่คือ รถที่ผมจะนั่งไปยัง เชียงดาวครับ
 

รถออกตรงเวลามากครับ 7 โมงก็ออกแล้ว โดยรถจะจอดรับคนตามป้ายด้วยครับก็จ่ายเงินเหมือนรถเมล์ ได้เลย แต่จะไม่มีการระบุที่นั่ง


ออกเดินทางไปเชียงดาวกัน พร้อมกับอุปกรณ์คู่ใจของผมในทริปนี้ ชักปวดขาแล้วสิ ขาเราก็ดันยาวซะด้วย


ระหว่างเดินทางแรกๆ ก็คึกคักนะครับ 555 ตื่นตาตื่นใจ เพราะก็ซดกาแฟบนรถทัวร์มา จึงต้องร้องเพลงของ ดาเอ็นโดฟินกันเลยทีเดียวว่า ให้มันตาตรึงงงงง!!


คนก็เริ่มขึ้นมาแน่นรถแล้วครับ  บรรยากาศนี่ แดดออกร้อนๆเลยครับ เหงื่อตกกันเลยเพราะปิดหน้าต่างไว้ จะเปิดก็ไม่กล้าครับ เขาปิดกันทุกบานเลย


มาถึงจนได้ครับ เชียงดาวถึงประมาณ 8.40 กว่าๆ ใช้เวลาเดินทาง 1.30 ชม. โดยประมาณคิดในใจว่า ดีใจโว้ยที่ไม่หลง  ผมลงที่หน้า โลตัสเชียงดาว และเดินเรื่อยๆ เจอป้าคนหนึ่ง ผมก็ถามทางว่า ไปคิวรถเมืองคองยังไง  ป้าแกตอบดีมากครับ บอกระบุชัดเจน ผมจึงเดินไป


เดินมาถึงซอยนี้ ก็เจอ ร้านขาหมูที่ร่ำลือกัน  แต่ผมไม่ได้ลองนะ เพราะรถจะออกเลย ผมเดินมาเจอรถสองคนนี้ สอบถามแล้วบอกว่าจะไปบ้านสายหมอก พี่คนนึงแกเป็นนักท่องเที่ยวเหมือนกันครับมาถึงตั้งแต่ตี4 แกบอกว่าไปคันนี้อออกเลยอีกคันจะออก 10 โมง เลือกเอา แต่แกเลือกจะไปคัน 10 โมงครับแกไม่รีบ เราจึงได้ไปคนละคันกันผมก็นั่งคุยกับพี่แกอยู่นานครับระหว่างรอลุงคนขับรถ ถามไถ่ว่ามาจากไหน มายังไง จะอยู่กี่วัน ว่าไปเรื่อย แกบอกว่าหนีความวุ่นวายมา พกหนังสือมาอ่าน 10 กว่าเล่ม แกพักบ้านวิวดอยหลวง ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับที่ผมพัก

พอลุงคนขับมา ผมก็เริ่มออกเดินทางครับ สอบถามค่ารถแล้ว 50 บาทต่อคนครับ และยังมีลุงคนนึง เพื่อนร่วมทางอีก 1 คน ลุยไปด้วยกัน  ''ผมว่านี่แหละ คือสีสันของการเดินทางครับ''


ระหว่างทาง ลุงคนขับแกก็ขับรถ เข้าไปในตลาด ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจหรอก ว่าจะวนซ้ำทำไม


พอนั่งไปนั่งมา ก็คุยกับลุง คนที่นั่งด้วยกัน แกก็บอกว่า มารับของ มีคนฝากขึ้นไปข้างบนดอยอ๋อออ  ผมก็เข้าใจทันที  ใครฝากลุงแกก็รับ ผมก็ช่วยขน ช่วยจัดให้เข้าที่เข้าทางถือเป็นประสบการณ์ที่ดี และสนุกสนานมากครับ ฮ่าๆ ของเยอะพอสมควรครับ


ขับออกมาจากตลาด ก็ได้สมาชิกร่วมทางมาอีก 1 ท่าน  ก็คือคุณลุงท่านนี้ครับ


ระหว่างทางขึ้นดอย ก็ยังมีแวะเป็นจุดๆ คนก็ยังฝากของขึ้นไปเรื่อยๆ 


การฝากนั้น ก็จะจ่ายค่าขนส่งกันเลย และแจ้งพิกัดการส่งของ โดยของส่วนมากเท่าที่ดูก็จะเป็นพวก ผัก และของสดปนของแห้ง  ของใช้ต่างๆก็มีบ้าง ส่วนใหญ่เป็นของทำกินซะมากกว่า


และนี่คือโฉมหน้า คุณลุงคนขับของผมครับ ลุงชื่อ ลุงบุญ ครับ ได้ยินคนแถวนั้นเรียก


เรากำลังจะขึ้นดอยกันแล้วครับ  ระหว่างทางก็ขับผ่านหมู่บ้าน แกก็ยังจะแวะไม่หยุดจริงๆ คราวนี้แวะซื้อปลาครับ

นี่คือคนขายปลาครับ ทำขายกันในบ้าน แกขายอย่างเดียว ไม่รับฆ่า เพราะเห็นมีป้ายบอกว่าห้ามฆ่าปลาในบริเวณบ้านหลังนี้


ออกเดินทางกันต่อครับ ระหว่างก็คุยกันคุณลุงทั้ง 2 ท่าน เพลินๆ เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง


เรามาถึงทางขึ้นอย่างแท้จริงแล้วครับ ตรงนี้จะมีด่านของเจ้าหน้าที่ด้วย ก็ยังมีคนฝากของขึ้นไปอีกนะครับ


ตอนนี้ของเต็มรถแล้วครับ ผมกับคุณลุง ช่วยกันจัดใหม่ จนเข้าที่เข้าทาง แล้วเราก็ลุยกันต่อ


พระเจ้าช่วย ฝนตกครับ  ในใจในหัวตอนแรกคิดว่าจะมาเอาบรรยากาศชิวๆ ไม่ได้มองเรื่องของฝนตกไว้เลย ตอนนี้คิดสารพัดครับ จะทำยังไง จะสนุกมั้ย หัวใจห่อเหี่ยวมากๆครับ


ก็ยังคุยเล่นกับคุณลุง คุยไปขำไป เรื่องฝนฟ้าอากาศ ในระหว่างทางขึ้นเขาซึ่งมันหลายโค้งมากๆ ผมเองคิดในใจว่า ดีนะไม่กินข้าวมา ไม่งั้นพุ่งแน่ๆ  ผมก็ยังกังวลใจเรื่องฝนอยู่ดี ระหว่างทาง เราก็สนทนากัน ลุงแกก็เล่าเรื่อง  ถนน ว่ามีความเป็นมายังไง ลุงแกบอกว่า แต่ก่อนมันเป็นดินเลย เละๆ รถแบบนี้เข้าไม่ได้ (รถกระบะ) ต้องเป็นรถโฟวิวเท่านั้น แล้วมันลำบากมากๆ การที่จะได้ของแต่ละอย่าง แล้วมันน่ากลัวด้วยโค้งมันเยอะอันตราย หืม สาระนะเนี่ย
ลุงแก พูดไปถึงงบในการสร้างถนนเส้นนี้ว่า ใช้งบประมาณ 600,000 กว่าบาท ได้ถนน และได้ไฟด้วย ซึ่งมันก็หลายสิบปีมาแล้ว ลุงแกก็บอกว่าคนที่จัดการเรื่องนี้เนี่ยเก่งมากๆ ใช้งบได้คุ้มสุดๆ ถ้าเป็นสมัยนี้ 6 แสน จะเอามาทำถนน ได้ถึง 2 กิโลได้รึเปล่าก็ไม่รู้ ต่อมาก็เข้าเรื่องลี้ลับอีก  ลุงแกเล่าว่า บนเขานี้ เครื่องบิน บินผ่านไม่ได้นะ เคยมีมาบินผ่านแล้ว เครื่องมันรวน จนต้องเลี้ยวกลับ จนทุกวันนี้บินผ่านไม่ได้เลย (ข้อมูลนี้จริงไม่จริงไม่ทราบนะครับ ถือว่าอ่านเพื่อความสนุกแล้วกัน)



และแล้วผมก็มาถึงทางเข้าครับ ฝนตกหนักมากๆๆ ..... และต้องเจอกับความจริงที่โหดร้าย คือ ลุงบุญคนขับรถแกไม่เข้าไปส่งครับ (ซึ่งผมเดาว่าแต่เดิมแล้วก็คงไม่เข้าไป)  ผมก็คิดว่าจะเอายังไงกับชีวิตต่อดี ความเครียดครอบงำเลยครับ


พอลง และจ่ายเงิน ลุงแกบอกว่า เดินเข้าไปนิดเดียว เนี่ยๆๆ ทางนี้ ซึ่งผมมองไป มันก็ไม่ไกล แต่มันก็ไม่เห็นปลายทางแถมมันแฉะและฝนตกหนักจริงๆ


ภาพตัดกลับมา ผมหันไป เห็นรถลุงขับออกไป แล้วเพลงก็ดังขึ้น.... ทำ..ถูกแล้ว ที่เธอเลือกเขาและทิ้งฉันไว้ตรงกลางทาง โอ้ววว ตอนนี้ผมโดนทิ้งอยู่ตรงนี้  ติดฝนหนัก แฉะ เละ จะโทรหาพี่เจ้าของที่พัก ให้มารับ ก็ไม่มีสัญญาณ


ตอนนี้เพื่อนคนเดียวของผม ก็คือ เจ้าไก่ตัวนี้นั่นเอง คือยืนหลบฝนอยู่กับไก่ ถือเป็นประสบการณ์แปลกใหม่เลยทีเดียว 555 ในใจตอนนี้คิดแต่ว่า นี่ตูมาทำไรที่นี่ อยู่บ้านดีๆไม่ชอบ กะจะมาสบายๆ แต่ดันเจอฝน ทำให้ความลำบากมันมากขึ้น แล้วจะทำยังไงต่อดี แต่ผมก็ยิ้มสู้ครับยืนร้องเพลงอยู่คนเดียว5555


หลังจากที่ผมยืนร้องเพลง และบ่นๆอยู่คนเดียวอยู่นาน ฝนก็เริ่มซาๆ แต่ก็ยังไม่หยุดก็เลยตัดสินใจว่า จะเดินฝ่าฝนเข้าไป อย่างน้อยก็ยังดีกว่าอยู่ตรงนี้วะ ไป!! หลังจากนั้น สภาพรองเท้าของผม ก็เละอย่างนี้หล่ะฮ่ะ ท่านผู้ชมระหว่างทางเดินก็เห็นป้ายบ้านนะ  ระเบียงดาว - วิวดอยหลวง  เห้ย แล้วบ้านสายหมอกอยู่ใสหนิสอบถามชาวบ้าน พี่เขาบอกว่า อ๋อ สายหมอก เดินลงไปตรงนู้น ตรงที่เละๆ โอ้โห  สภาพแบบว่า 555  ฝนก็ตกครับ ลุยก็ต้องลุยแล้วหล่ะ


หลังจากเดินเข้ามาถึง นี่ก็คือป้ายทางเข้าครับ ชื่อบ้าน และ เบอร์โทรตามนี้


นี่คือทางที่ผมเพิ่งเดินผ่านมา แบบฝนตกเละๆ ดินแดงกันเลยทีเดียว


เดินเข้ามาก็เจอ ป้ายบอกว่า ไม่เหมาะเฮฮาปาร์ตี้นะครับ อารมณ์ประมาณว่า มาดื่มด่ำกับธรรมชาติ ซึ่งผมคิดในใจว่า  อืม ฉันว่าฉันดื่มด่ำมาตลอดทางแล้ว พอสมควร 


เข้ามาก็เจอกับพี่คนนี้ครับ ซึ่งทราบภายหลัง คนอื่นเรียกแกว่าผู้จัดการ  เขาก็งงๆ ทำตาโตใส่ผมแล้วถามว่า พี่ขึ้นมายังไง ฝนตก พี่เข้ามายังไงครับ ผมเองก็ตอบไปตามความจริง555 จากนั้นเราก็นั่งคุยกันยาวๆครับ พี่แกเล่าว่า ฝนตกตั้งแต่เมื่อเช้ามืด ตอนตี5 พี่แกต้องรีบวิ่งปลุกลูกค้า ให้มาถอยรถออกเลย เพราะว่าไม่งั้นจะออกไม่ได้ ต้องช่วยกันเข็น ฮ่าๆ หลังจากนั้นผมก็ขอชาร์ทแบต เพราะแบตกล้องนั้นหมดไปแล้ว แต่พี่เขาบอกว่า ที่นี่ใช้ พลังงานแสงอาทิตย์นะครับ ถ้าแสงแดดไม่มี ก็จะเสียบไฟไม่ได้แล้วผมแบบ โห ฝนตกแบบนี้ อีกไม่นานแบตโทรศัพท์ฉันหมดแน่ๆ 


นี่คือ วิวแรกที่เห็นครับ ฝนยังคงตก


นั่งคุยกันสักพัก พี่คนนี้ก็เดินเข้ามา เขาเหมือนเป็นญาติๆกัน ก็มาแจมครับ นั่งเม้าท์มอยกันตามประสา แกก็แนะนำให้ไป ดอยหลวงเชียงดาว โคตรสนุก ปีนขึ้นไป 6 กิโล วิวสวยโคตร ผมเองไม่รู้จักสักที่ได้แต่นั่งฟังเก็บข้อมูลไป แล้วพี่ผู้จัดการถามว่า พี่ๆ พี่หิวมั้ย กินไรมั้ย  ผมเลยตอบเลยว่าหิวครับ เนื่องด้วย ผมไม่ได้กินก่อนขึ้นมา เพราะว่า รถรีบออก และดีแล้วหล่ะไม่งั้นมันจะพุ่งฮ่าๆ พี่ผู้จัดการเลย สั่งทีมงานว่าขอข้าวไข่เจียวให้ผมกินหน่อย  ผมแบบ ว้าว ต้อนรับกันอย่างนี้เลย555 แต่ข้าวไข่เจียว มีแต่ไข่ ไม่มีข้าว สรุปแล้ว สิ่งที่ผมได้กิน ก็คือ มาม่าครับ เอาวะกินได้หมดแหละ หิวอ่ะ


ผมคิดว่าจะเป็นมาม่าใส่ไข่ธรรมดาๆ  โอ้ววว  พี่แกลอกแบบหน้าซองกันมาเลยทีเดียว ผมก็ถามแบบซื่อๆว่า  พี่นี่ทำมาเหมือนหน้าซองเลย  พี่แกตอบว่า 
ก็ตอนทำอ่ะ เอาซองแปะไว้ข้างบนแล้วทำตามเลย กลัวไม่เหมือน 5555 สนุกสนานกันไปครับ ได้คุยกับคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์มากมาย ระหว่างกิน พี่ทั้งสองคนก็ชวนคุยไปเรื่อยๆ เขาเล่ากันว่าฝนตก มันมีทั้งดีและไม่ดี ดีคือ ถ้าฝนมันตกคืนนี้ พรุ่งนี้ จะเห็นทะเลหมอกหนามากๆและสวยโคตรๆ แต่ที่ไม่ดีคือคืนนี้จะไม่เห็นดาว แต่หลังฝนตกแล้วมันหยุดเลยจริงๆ แถมแดดออก ก็จะเห็นหมอกเหมือนกัน อ๋อออ ผมเองก็เพิ่งรู้ ผมนี่อึ้ง กับสาระที่ได้รับ คิดในใจว่า เออหว่ะ ทำไมเราไม่รู้เรื่องพวกนี้ หรือนี่มันคือ '' สีสันของการเดินทางอีกแล้ว ''



ตอนนี้ฝนมันเริ่มซาและมีทีท่าว่าจะหยุดแล้วครับ จากที่ผมนั่งหลบฝนตรงที่เคาท์เตอร์ ก็เริ่มออกมาเดินสำรวจแล้วครับ  เดินวนไปวนมาอยู่แถวนั้น  เพราะพี่เขายังไม่ได้จัดการเต้นท์ให้ ผมมาคนเดียวอะครับ มันดูเปลี่ยวๆ แต่บรรยากาศแบบนี้  เงียบสงบแบบนี้ มันทำให้เราได้อยู่กับตัวเองถ้าเป็นที่ กรุงเทพ ตอนนี้ผมคงจะยังไม่ตื่นนอนแน่ๆ  ขณะนี้เวลา 12.00 โดยประมาณ


ผมกับพี่คนนี้ ก็ได้มายืนคุยกัน เรื่องสิ่งของที่อยู่ตรงหน้าเรานี่แหล่ะ ว่ามันทำยังไงทนทานแค่ไหน พี่แกก็เล่าว่า มันราคา 700-1000 แหล่ะมั้ง แต่มันทนนะ กว่าเขาจะทำได้แต่ละอันใช้เวลานาน น่าซื้อมาเก็บไว้ใช้ (เอ๊ะจะหลอกขายเปล่าเนี่ย555) ก็คุยสนุกดีครับ คนที่นี่เป็นกันเองมากๆ คือสำหรับพวกเขา ผมคงเป็นคนแปลกหน้า บ้าๆบอๆ เดินตากฝนมา แล้วก็มาหาเรื่องคุยไปเรื่อย ขี้สงสัย ถามนู่นถามนี่  ทำไงได้หล่ะครับ ผมมาคนเดียว ขอตีซี้หน่อย


ฝนหยุดแล้วครับ เคยได้ยินคำที่บอกว่า ฟ้าหลังฝนสดใสเสมอ ก็มาลองดูบรรยากาศหลังฝนหยุดตกกันดีกว่า


ผมนี่ถือว่า ที่ผมเห็นนี่ เป็นบรรยากาศที่ใช้ได้และสวยงามครับ ธรรมชาติกลางขุนเขา โอ้วแม่เจ้า มันเหมือนทุกอย่างหยุดนิ่ง มีออร่าแสงแดดไออุ่นร้อนๆเบาๆ มันรู้สึกสบายอ่ะครับ แบบบอกไม่ถูก


พี่ผู้จัดการก็เล่าให้ฟังว่า  คือเขาก็ชอบที่นี่ บรรยากาศมันดี  เวลาเขาเครียด จะขับมอเตอร์ไซค์ลงไปแล้วก็ขึ้นมา ขับเล่นๆ ให้ลมให้หมอกกระแทกหน้า แล้วมันมีความสุข แล้วเขาก็จะหายเครียด เขาบอกให้ผมลอง ผมบอกใช่สิ ก็พี่ชินทาง ถ้าผมขับนะ เจอกันข้างล่างเลยทีเดียวผมวิ่งทางลัด ฮ่าๆ


ผมมาถึงเป็นคนแรกเลยครับ ที่นี่เลยเป็นของผมแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีลูกค้าท่านอื่นเลย ผมนี่เดินเล่นเป็นบ้านตัวเองเลย ระหว่างเดินก็ คุยกับพี่ๆเขาไปด้วย เขาก็แนะนำให้ลองมะขามป้อม ซึ่งผมลองนะ บอกเลยว่าไม่เคยกิน (จริงๆนะ) พอลองแล้วมันฝาดๆขมๆ พี่เขาเอาน้ำให้บอก เอากินเข้าไปแล้วมันจะหวาน ... ซึ่งมันก็หวานจริงๆนะ แต่แบบ นิดนึงอ่ะ คือกินมาเสี้ยวนึงละ แกก็ยังบอกให้กัดเข้าไปทั้งลูกแกขำผมนะครับ คงเป็นเรื่องตลกของแกแหล่ะ 555  บอกเลยว่า (ผมกินไม่หมดนะ)


เดินเล่นในที่พักสักแปบ ก็เริ่มมีนักท่องเที่ยวเข้ามากันละครับ คงเป็นเพราะฝนตก ทำให้ขึ้นมากันช้า พี่ผู้จัดการก็บอกว่า อาจจะมีการยกเลิกการจองกันเยอะ เขาก็เข้าใจครับ  (ขอโทษที่แอบถ่ายนะครับพี่แหะๆ)


เป็นคู่ก็มีมานะ ไอ้เราเห็นแล้วก็ปวดหัวใจ


นี่คือวิว ตรง '' จุดชมวิว '' ของบ้านสายหมอกแห่งนี้นะครับ  ซึ่งบอกว่า สำหรับผม มันอเมซิ่งอีหลีนะ ไกลสุดลูกหูลูกตา มองไปไกลที่หุบเขา เจอแต่หมอก
อากาศเย็นๆ ผมยืนสูดลืมหายใจคนเดียวยังกะคนบ้าแหนะ



เมื่อฝนหยุด ผมก็เริ่มที่จะไปเดินสำรวจ รอบๆ ตัวหมู่บ้านในระแวกนี้ครับ ฝากกระเป๋าไว้ที่พี่เขาก่อน เดินออกมาแล้วเจอแบบในภาพนี้เลยอ่ะ ผมแบบ อู้หูยยย มีหมอกจางๆมากระแทกหน้า เราก็เดินไปแบบฟินๆ ถือไม้เซลฟี่ยาวๆ ใช่สิ ก็ผมมาคนเดียวนิครับ อย่ามองแบบนั้น ฮ่าๆ


นักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ก็ออกมาเดินสำรวจเช่นกันครับ  เดินๆมาก็เจอ คอกหมู ที่เค้าร่ำลือกันในหลายๆรีวิว ก็มีจริงๆครับ หมูน้อย หลายๆตัว อยู่กันแบบ แฮปปี้แฟมมิลี่


ต่อมา ผมเดินขึ้นเนินอันสูงชันขึ้นมา ว่าจะไปแวะดูบ้านระเบียงดาวชื่อดังสักหน่อย อันนี้ ผมขอบอกว่า ในระแวกนี้ เขาเป็นเครือญาติกันนะครับ  อารมณ์ว่า 3 บ้านใกล้เรือนเคียงจะมี บ้านระเบียงดาว - บ้านวิวดอยหลวง - และบ้านสายหมอกที่เปิดใหม่  คือ ไม่ต้องกังวลใจว่าจะจองบ้านระเบียงดาวไม่ได้แล้วจะไม่มา ยังไงลองติดต่ออีกสองบ้านดูได้ครับ แล้วสามารถมาเดินสำรวจหรือจะมาถ่ายรูปเล่นได้หมดเลยทั้ง 3 บ้านครับ 


คือผมก็เดิน ดุ่มๆของผมแหล่ะครับ มาคนเดียว  เขาก็มองกันแปลกๆนะครับ เออแต่ไม่เป็นไร ตีเนียนแล้วกันผมเองก็เห็นเขาถ่ายรูปกันเป็นกรุ๊ป เป็นคู่ โอ้ย เราจะไปยืนเชลฟี่ อายหวะ ถ่ายแค่วิวและบรรยากาศก็พอ


วิวจากจุดชมวิว ถ่ายผ่าน อะไรซักอย่างคล้ายๆรูปดาว ผมไม่ทราบจริงๆครับ


และนี่คือ ภาพจาก '' จุดชมวิว ของ บ้านระเบียงดาว ''  นำมาให้ชมกันครับ วิวจากบ้านระเบียงดาวนั้น หมอกจะน้อยกว่า หรือเป็นเพราะจังหวะของผม หรือฝีมือการถ่ายรูปก็ไม่แน่ใจ แต่ว่า บ้านระเบียงดาว อยู่สูงกว่าบ้านสายหมอกนะครับ ทำให้เห็นวิวของเทือกเขาได้สูงกว่า ด้านล่างๆนั้นเป็นที่พักครับ มีบ้านพักเยอะมาก และค่อนข้างแออัด ในความคิดเห็นส่วนตัวของผมนะ


ต่อมา เราก็จะไปบุกบ้านวิวดอยหลวง ซึ่งบอกเลยว่า แบตมือถือใกล้จะหมดแล้วหล่ะ เลยได้ถ่ายมาน้อยครับ และนี่คือ ภาพจาก '' จุดชมวิว ของ บ้านวิวดอยหลวง '' ซึ่งจะอยู่สูงที่สุดในบรรดาทั้ง 3 บ้าน จากภาพทางซ้ายล่างจะเป็นบ้านระเบียงดาว  ทางขวาจะเป็นทางที่ไปบ้านสายหมอกครับวิวของที่นี่ สูงมากๆ และเห็นช่องแคบ หรือช่องว่างระหว่างหุบเขาได้ชัดเจน ถือว่าเป็นวิวที่ใช้ได้ครับ



ตอนนี้มันจะ บ่ายสองโมงแล้ว ขอกลับไปที่พักสักหน่อย อยากจะเปลี่ยนชุดแล้วเพราะไปลุยมาเละเลยระหว่างทางก็เจอน้องหมาในตำนาน ที่ใครๆมา เป็นต้องถ่ายรูป ผมเองก็ไม่พลาดที่จะถ่ายครับ สงสัยจะเป็นหมาเซเลปประจำหมู่บ้านนี้แหล่ะ


เดินกลับมา พี่เขาบอกว่า จะนอนเต็นท์ข้างล่างหรือข้างบน ผมเองก็ขอลงไปดูซักหน่อย สรุปแล้วเอาข้างล่างด้วยเหตุผลส่วนตัวของผม เพราะว่า ถ้านอนด้านบนตรงจุดชมวิว คนน่าจะมาเดินถ่ายรูปเยอะ แน่ๆเลยผมเลยเลือกจะไปนอนด้านล่าง ที่มันมีวิวส่วนตัว แต่มันเป็นแบบว่า ถ้าเดินพลาดก็ตกลงไปเลยแหละ(เสี่ยงเหมือนกันนะเนี่ย) แต่ต้องยอมรับว่า วิวมันส่วนตัวและสวยจริงๆ ที่บรรยายเยอะขนาดนี้ เพราะว่า (แบตหมดไปแล้วไม่มีภาพที่พักให้ดูแต่หลังๆจะมีให้นะครับ) หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จ ใส่อีแตะ พร้อมลุย  แม่เจ้า ฝนตกลงมาอีกแล้ว ในเวลา บ่ายสองโมงเกือบบ่ายสามโมง คือแบบ จะให้อยู่นิ่งๆ ดีๆ ชิวๆ ไม่ได้เลยเหรอไง คนที่ได้ที่พัก เขาก็ไปนอนกันครับ คู่รักก็คงมีความสุขกันในอากาศหนาวกลางขุนเขา  แต่ผมมาคนเดียวครับ ไปนอนก็คงเหงา หาไรทำดีกว่า ฮ่าๆ มีภาพอุปกรณ์และเครื่องนอนมาฝากครับ



คือ สามโมงกว่าแล้วฝนก็ยังตกอยู่ ผมเองก็นั่งชาร์จแบตไปด้วย ที่เคาท์เตอร์ (ทุกคนต้องมาเสียบปลั๊กที่นี่ครับ)โชคดีหน่อย ช่วงที่ฝนหยุด แดดมันออกและทำให้เรามีไฟเสียบชาร์จแบตกันครับ ที่นี่พอจะมีสัญญานอยู่บ้างนะครับ


คือมันไม่มีอะไรที่จะทำได้จริงๆครับ แต่ผมกลับไม่เบื่อนะ ผมสงบนิ่งมากๆ ชอบแบบนี้ก็นั่งดูพี่เขาคุย เขารับโทรศัพท์แหล่ะครับ

เอาละครับ 4 โมงเย็น ฝนหยุดแล้วครับ  เฮ้อออ มาก็เจอแต่ฝนครับ


ภาพนี้มองเห็น เต็นท์ผมนิดๆครับ 


ฟ้าหลังฝนอีกครั้งครับ นี่คือเต็นท์ด้านบนครับ ที่เปิดให้นอน แต่ของผมอยู่ข้างล่างนู้น


ไม่ทันไร ก็มีพี่ 2 คนนี้เดินเข้ามา แล้วเราก็ได้คุยกันสอบถามชื่อแล้วก็ได้ชื่อว่า พี่เขาชื่อ พี่ โอ๋ กับ พี่แอ๊ด เป็นเพื่อนกัน (พี่แอ๊ดคนที่เป็นผู้หญิงนะครับ) คือคุยกันเรื่องบรรยากาศและการเดินทางขึ้นมา ผมจึงบอกพี่ๆว่า โคตรโชคดี มาตอนฝนหยุด ผมนี่นั่งหงอยอย่างนาน


หลากหลายอารมณ์จริงๆครับ ที่ผมได้พบเจอ มันคงเป็นทาง ที่มีเรื่องราวที่ผมจะจำไปตลอด ไม่รู้สิครับมาครั้งแรก อะไรๆมันก็น่าแปลกใจไปหมด ตั้งแต่ไก่ ยันมะขามป้อม ภาพนี้ เขากำลังสร้างที่พักอีกครับ เปิดบ้าน ที่ 4 คาดว่า จะรองรับนักท่องเที่ยวได้มากขึ้นครับ 


บรรยากาศดีๆเริ่มกลับมาแล้ว


และแล้วก็มาถึงเวลาที่ผมรอคอยมานาน นั่นคือเวลาอาหารเย็นครับ และนี่คือ วิวจาก หน้าเต็นท์ของผม ในการรับประทานอาหารเย็นมื้อนี้ ช่างเป็นวิวแบบสุดยอด จดจ่อกับการกิน และดื่มด่ำกับวิว สำหรับอาหารนะครับ จะเป็นพวกแบบง่ายๆเช่น ไข่เจียว ต้มจืด ผัดผัก และน้ำพริก การบริการของที่นี่ ดีมากครับ พี่ๆที่ดูแลที่นี่ เขาแบบว่าเดินมาถามตลอดว่าเติมอะไรไหม ขาดเหลืออะไรหรือเปล่า คือผมใกล้จะอิ่มแล้ว พี่เขาก็บอกว่า ไข่เจียวอีกใบนะพี่จะได้แน่นๆไปเลย ฮ่าๆ คิดแล้วก็ขำครับ บริการดี ทุกๆคนได้อิ่มท้อง ทำงานกัน 3 คนแต่ดูแลได้ทั่วถึงจริงๆครับ


กินอิ่มแล้ว ระหว่างย่อยก็นั่งถ่ายรูปไปเพลินๆ เต็นท์ข้างๆ มากันเป็นคู่ ผมนี่แบบ ... อิจฉาครับ


ผมก็นั่งๆนอนในเต็นท์ เพราะฝนก็เริ่มลงเม็ด (อีกแล้ว) แต่เบาๆครับ พอตกดึก ที่นี่เขาจะแจกตะเกียงวิเศษ คนละอันนะครับ เอาไว้ใช้ เวลาเดินไปไหน และ เวลาไปเข้าห้องน้ำ (ห้องน้ำไม่มีไฟ แต่น้ำแรงมากครับ) ผมก็ใช้เจ้านี่แหละ ไปอาบน้ำครับ ฝนลงเม็ด หมอกก็ลง แล้วมายืนอาบน้ำท่ามกลางตะเกียง โอ้โหย ขนนี่ลุก สั่น ไปหมดอะครับ และผมก็เข้านอนครับ จบไปครับ Day 2  กับการนอนพักที่บ้านสายหมอก - เชียงดาว  การนอนนั้นก็สบายๆครับ กลางคืนนี้ผมสะดุ้งตื่นเลยเพราะว่า เสียงฝนตกแรงมาๆ  คือ 2 ทุ่มผมดันหลับแล้วครับ สงสัยจะเหนื่อยเดินไปเดินมานี่แหละ วันๆไม่ทำอะไรเลย


ตั้งนาฬิกาปลุกตื่นขึ้นมา ตี 5 บรรยากาศโคตรหนาว ประมาณ 13 -15 องศาได้ ไม่อยากลุกเลย งัวเงียสุดๆ กะจะตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นเก๋ๆ แต่สิ่งที่ผมเห็นและคิดในใจว่า  ลาก่อนรุ่งอรุณแห่งแสง


ไม่มีแสงใดๆ โผล่มาให้เห็นเลย แต่ไหนๆก็ตื่นแล้ว ถ่ายรูปดีกว่า มาคนเดียวก็งี้ ไม้เชลฟี่คู่กายได้โชว์แล้วก็เดินเล่นๆ วนไปวนมา


หมอกหนามากๆครับ สมชื่อบ้านสายหมอกจริงๆ  มองไปทางใดก็มีแต่หมอก


ไม่มีแสงอาทิตย์เลย ฮ่าๆ ได้ใช้ไม้เชลฟี่คู่กายอีกแล้ว เริ่มมีคนตื่นแล้วครับ เพราะผมเดินย่ำหนักไปรึเปล่าวะเนี่ยฮ่าๆ เขาก็มาถ่ายรูปกันเยอะแยะครับ  พี่ๆที่พัก เขาก็เริ่มงานกันเลย ด้วยบริการกาแฟและโอวัลตินครับ 



คิดดูสิครับ จะซักกี่ครั้งเชียว ที่ในชีวิตของเรา จะได้นั่งจิบกาแฟร้อนๆ กับบรรยากาศหมอกกระแทกหน้าแบบนี้สำหรับผมนั้น โอกาสมันมีน้อยมากอ่ะครับ ที่จะได้เห็นอะไรแบบนี้ผมจิบกาแฟไปแล้วก็ สูดลมหายใจเข้าออกแบบว่า ขอดื่มด่ำกับวินาทีนี้หน่อยเถอะ


หลังจากกาแฟเสร็จ ก็ตามด้วยอาหารเช้าครับ ซึ่ง จะเป็นข้าวต้มครับ พี่เขายังจะให้กาแฟผมเพิ่มอีกผมบอกว่าพอแล้วพี่ แค่นี้ก็ ตาโตแล้วครับ ฮ่าๆ


ข้าวต้มอร่อยดีนะครับ เติมได้เต็มที่อีกเหมือนเคย กินจนอิ่มหนำสำราญ ก็เสพความสุขกันไปแบบเต็มที่ ตัวผมนั้น ออกมาเที่ยวแบบนี้ครั้งแรก เลยอยากจะซึมซับบรรยากาศแบบนี้ให้นานๆ


กินไปดูวิวไปครับ แบตก็จะหมด ชาร์จไม่ได้ด้วยครับ เพราะไม่มีแสงอาทิตย์เลยเช้านี้


หมดเวลาของ บ้านสายหมอก แห่งนี้แล้วครับ ผมกินเสร็จและรีบกลับมาที่เต็นท์ตัวเอง รีบเก็บของครับเพราะว่า จะมีรถลงไปจากดอย เวลา 8 โมง คือลงหลายคนเลยครับ เพราะถ้าไม่มีรถมาเอง ถ้าไม่ลงรอบนี้ก็ต้องรอไปโบกข้างหน้า ซึ่งอาจจะยากกว่านะครับ จึงเป็นรถเที่ยวบังคับ ฮ่าๆ


เก็บของเสร็จแล้ว ก็มองออกไปจากเต้นท์ตัวเอง เห้ยวิวโคตรสวยเลยวะ นั่งมองนิ่งๆ ไม่รู้สิครับผมชอบวิวนี้นะ
 

แต่ความจริงก็คือความจริงครับ  เดินออกมา ชำระค่าที่พัก (ที่นี่เขาจะเก็บหลังจากเรานอนไปแล้วอะครับ) ค่าที่พัก 1 คืน ถ้านอนห้อง 500 ครับ รวมอาหาร เย็น - เช้า  / ของผมนั้นนอนเต็นท์ค่าที่พักจึงเป็น 400 1 คืน  รวมอาหาร เย็น - เช้า  เสีย 400 กับบรรยากาศและมิตรภาพกับการบริการแบบนี้
ผมว่าใช้ได้เลยนะ ความเห็นส่วนตัวนะครับ



ด้วยความที่ฝนตกตอนดึกๆ แรงมากๆ ทำให้เข้านี้ หมอกโคตรหนาเลยครับ ฟินสุดๆ อากาศหนาวเย็น ผมเองก็เดินเล่นถ่ายรูปไปเรื่อย รับลมหนาวนี้ หมอกกระแทกหน้าเต็มๆ สุดยอดครับ


ซึ่งนี่ก็คือ รถที่จะพาเราลงไปข้างล่างครับ คุณลุงแกใจดีครับ ขี้เล่น คุณลุงชื่อ ลุง อ้าย ครับ  (ผิดพลาดประการใดขออภัยครับ)


เรายังคงลงไปไม่ได้ครับ ต้องรอคนอื่นๆด้วย ผมก็ รอครับ จนเจอพี่ๆกลุ่มนี้ ซึ่งเราไม่ได้พูดคุยกันในตอนที่พัก แต่ตอนจะลง ได้มีโอกาสสนทนากันอยู่ครับ แต่พี่คนหนึ่งในนี้ เขาทักผมด้วยประโยคสุดตกใจว่า

พี่เขา : พี่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ
ผม : (คิดในใจ) เอาหล่ะสิ เราเป็นไรวะ ไปทำไรมาเปล่าวะเนี่ย คือตกใจปนความงงอะครับ ผมก็ตอบไปว่า เป็นอะไรเหรอครับ (เสียงแบบงงๆ)
พี่เขา : ก็แบบพวก นักข่าว หรือ อะไรแบบนี้ เพราะว่าเห็นตั้งกล้องถ่ายรูปอะค่ะ
ผม : (คิดในใจ) โล่งอกไปที นึกว่าเราเป็นอะไร ฮ่าๆ ผมก็ตอบไปอย่างมั่นใจ  ว่า '' ไม่ใช่ครับ ''  ผมมาเที่ยวเฉยๆ ชอบถ่ายรูปครับ



เอาหล่ะ คนจากบ้านสายหมอก มาครบแล้ว แค่นี้ก็แน่นมากๆแล้ว แต่ยังมีคนจากบ้านระเบียงดาวอีก 4 คนโอ้วววววจะอัดกันไปยังไง  แต่สุดท้ายเราก็อัดกันไปได้ครับ มีพี่คนหนึ่ง แก๊งค์ปีนเขา เสียสละตัวเองลงไปนั่งกับพื้นที่กระบะหลัง ผมนับถือใจเขามากๆครับ ที่ทำแบบนี้เพราะว่า คนที่ขึ้นมาร่วมทางลงไปด้วยจากบ้านระเบียงดาวนั้น เป็นแก๊งค์คุณป้าๆ 4 ท่านครับ


ระหว่างทางลงไป คุณป้าก็ได้เม้าท์มอยกันไปเรื่อยๆ ชวนกันคุย แลกเปลี่ยนประสบการณ์และรูปถ่ายซึ่งมันเป็นโมเมนต์ที่ผมชอบนะ จากรุ่นเก่าสู่รุ่นใหม่ ... คุณป้าก็ ถามผมมายังไงมากับใคร ผมก็เล่าแบบที่เขียนนี่แหละ เขาก็ขำกันสนุกสนานดีครับ ฮ่าๆ เวลาผ่านไปแปบเดียว รถก็ขับลงมาต่อจนถึง ขนส่งเชียงดาวครับ ถือว่าใช้เวลาไวกว่าตอนขึ้นครับ มันไม่ได้แวะที่ไหนเลย


พอลงมาถึง เราก็ต้องชำระค่ารถครับ คนละ 50 บาท และนั่งรอรถ ไปต่อที่ อาเขตช้างเผือก คือผมก็ไม่รู้ทาง กะว่าไปตั้งหลักที่นั่นดีที่สุด  ที่นี่ผมได้ชาร์จแบต และซื้อยาดม 20 บาท เพราะรู้สึกคลื่นไส้


รอรถประมาณ 30 นาที  เวลาก็ประมาณ จะสิบโมงแล้วหละ มี เน็ตใช้ มีคลื่นซักที อัพรูปโชว์สิครับรออะไรฮ่าๆ รถมาถึงครับ กฎการขึ้นรถจากตรงนี้นะครับ เราต้องรอ ให้คนที่เข้าห้องน้ำ กลับมาก่อนครับ แล้วจึงจะขึ้นไปได้เพื่อ จะได้รู้ว่า ที่ตรงไหนมันว่างจริงๆ และเราสามารถนั่งได้ ค่ารถ 40 บาทครับซื้อตั๋วบนรถเลย จุดมุ่งหมายของเราคือ อาเขตช้างเผือกระหว่างนั่งก็ถามคุณลุงท่านนึงที่นั่งข้างๆกันว่า จากนี่ไปไกลมั้ย อะไรงี้ ว่าไปเรื่อย การได้คุยกับคนแปลกหน้า ผมว่ามันก็สนุกดี จริงๆมันไม่ได้เลวร้ายครับ ลองดูคุณลุงจะลงแล้ว ผมก็บอกว่า โชคดีครับลุง ขอบคุณครับ ลุงตอบกลับมาว่า โชคดีไอหนุ่ม
ถือเป็นอะไรเล็กๆน้อย แต่ทำให้ผมประทับใจนะครับกับการมา Backpack ครั้งนี้



รถออกมาได้ซักพัก คุณลุงลงไปแล้ว ก็มีวัยรุ่นขึ้นมานั่งข้างๆผม และเบาะถัดไป 2 คน กลิ่นละมุดนี่หึ่งเลยครับ จัดมาแต่เช้าแน่นอน และเราต้องเจอกับด่านตรวจครับ จะมีพี่ๆทหารมาตรวจบัตรประชาชน ถือว่า ตื่นเต้นดีครับ รถยังคงวิ่งต่อไป มีหลับมีตื่นกันบ้าง คนเริ่มลงไปเยอะ ผมก็นั่งสบายเลยครับ


เดินทางมาถึงแล้วครับ อาเขตช้างเผือก (อีกครั้ง) ซึ่งต้องบอกว่า นั่งสุดสายเลยครับ หลังจากลงรถผมก็รีบไปหาถามทางเลยครับว่า จะไป จอมทองนี่ไปยังไง รถคันไหน ถามเอาเลยครับแต่ผมบอกว่าจะไปดอยชัวร์ญ่า เขาไม่รู้จักกันอ่ะครับ เลยต้องบอกว่าไปจอมทองฮ่าๆ


ผมได้รถที่จะไปจอมทองแล้วครับ กำลังจะออกพอดี กำลังมัดของเลยครับ บนรถก็มีคนไม่เยอะด้วยผมขึ้นรถไปด้วยความสุภาพ และบอกว่า ผมขอไปด้วยคนนะครับ ฮ่าๆ พร้อมออกเดินทางครับคราวนี้มีเพื่อนร่วมทางเยอะอีกแล้วครับ  ผมเลยใช้โอกาสนี้ สอบถามเส้นทาง ขึ้นดอยอินทนนท์ และระยะทางจากที่นี่ เขาบอกนานมากๆ คงถึง เที่ยงๆบ่ายๆ  คุยไปคุยมาทราบว่า ค่าโดยสารไปจอมทองนั้นราคา 32 บาท สนุกสนานมากครับ กับการสนทนา ผมก็ยังเอาเรื่องติดฝนอยู่กับไก่ไปเล่าให้ฟังอยู่ดี ฮ่าๆ พร้อมแล้วก็เดินทางไปสู่จุดหมายต่อไปของผมครับ ดอยชัวร์ญ่า - กิ่วแม่ปาน ไม่รู้เลยว่าอะไรรอคอยเราอยู่แต่ก็จะขอลุย!!


ระหว่างทางคุณป้าท่านนี้ คุยกับผมบ่อยหน่อยครับ แนะนำเมืองเชียงใหม่ ว่าที่นี่คือที่ไหน แยกนี้ไปไหน ซ้ายไปไหน ขวาไปไหน พอป้าแกรู้ว่าผมมาคนเดียว แกก็บอกว่าคนเชียงใหม่ใจดีนะแต่ก็อย่างว่า ทุกๆที่มีดีก็ต้องมีร้าย แล้วแต่เราจะเจอนะ ผมก็บอกไปว่าที่ผมเจอนั้นเจอแต่คนดีๆ ป้าแกมาจากฝางครับ และจะไป สันป่าตอง มันเกิดมิตรภาพอีกแล้วครับ ผมกับเขาไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แต่คุยกันเหมือนกับแม่กำลังสอนลูก 


การเดินทางนี้ยาวนานมากครับ จาก อาเขตช้างเผือก จะไปจอมทอง คุณลุงกับคุณป้าคู่นี้ก็เช่นกัน หลังจากคุยกันจนไม่มีอะไรจะคุย ก็หลับกันครับ จนมาถึงลุงกับป้าก็บอกว่าตรงนี้แหละลูกลงเลย และผมก็ยกมือไหว้ร่ำลากันไป  กับคนใจดีทั้งสองท่านครับ


เราเดินทางมาถึงจุดหมายแรกแล้วครับตามแผน ลงหน้าวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร


ไหนๆมาถึงวัดแล้ว ก็ขอแวะเข้าวัดสักหน่อย ไหว้พระขอให้การเดินทางราบรื่น เจอฝนแบบเมื่อวานไม่เอาแล้วนะ ก็เจอคุณยายท่านนี้เรียกผมเสียงดังมาก เรียกไปคุยว่าจะไปไหน ผมก็บอกว่าจะขึ้นดอยอินทนนท์ แกบอกว่า ไปเยี่ยมญาติเหรอถึงมาคนเดียว ผมก็บอกว่ามาเที่ยวครับ สุดท้าย ก็อุดหนุนชุดดอกไม้ไหว้พระมาจากยายแกครับ


ถึงหน้าผมจะโหดแต่ผมก็มีโหมดน่ารักนะครับเข้าวัดกับเขามั่ง

  

นี่ก็บ่ายโมงจะบ่ายสองแล้วครับ ต้องหาร้านกินข้าวซักหน่อย และต้องเป็นร้านที่ชาร์จแบตด้วย ผมก็เดินออกมาทางออกด้านข้างของวัดนะครับ เข้าซอยเล็กๆมาเจอร้านข้าวร้านนี้ ใจดีให้ผมชาร์จแบตด้วย  พี่แกใจดีครับ จ่ายค่าอาหารมื้อนี้รวมน้ำไป 55 บาท


ผมกินข้าวอิ่มและชาร์จแบตไปด้วย ผมเองก็ถามทางขึ้นไปบนดอยอินทนนท์ครับ สรุปแล้วได้ใจความว่า มันมีแต่รถเหมาเท่านั้น ราคาเป็นพันถ้าไปจะไปแจมเขามันก็ได้ แต่ต้องชัวร์ว่าเขาจะรับเราไปด้วย '' ในใจตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกไม่ดีแล้วหล่ะ '' เราจะไปยังไงวะ จะขึ้นไปยังไงดี หลังจากได้เวลาซักบ่าย 3 แบตยังไม่เต็ม แต่ควรจะออกได้ละกลัวรถหมดอย่างน้อยไปถามดูก่อน


หลังจากที่ผมเดินออกมา คิดภาพตามเลยนะครับ มันเหมือนนักเลงสองคนที่บาดหมางกันมานาน เดินมาเจอกันตรงกลางทางโดยมิได้นัดหมาย ผมนักเลง1 เดินไปประจัญหน้ากับ นักเลง 2 เรามองตากันครับ แล้วผมถามไปว่า พี่ครับ จะขึ้นไปดอยชัวร์ญ่ามีรถมั้ย เพราะผมเห็นไปที่คิวรถตอนแรก รถเหลือคันเดียวเองครับ และไร้วี่แววคนอื่น ถ้าจะไปคงต้องเหมา แต่พี่คนนี้เหมือนพ่อพระ และโชคของผม แกบอกว่า มาสิ มาทางนี้ และเราก็ได้พบกับรถของแกครับ


เหมือนโชคช่วยครับ คือ ลุงแกจะขึ้นไปส่ง แม่ค้าที่ขายของอยู่ข้างบนพอดีเลยครับ แต่อยากได้อีก 2 คน เพราะมันไม่คุ้มน้ำมัน เพราะตอนนี้ มีผม แม่ค้า และลูกค้าอีก1 เป็นวัยรุ่นชาวบ้านครับ ผมก็ไม่เป็นไร รอได้ แค่มีรถขึ้นไปมันก็ดีแล้ว  และได้สอบถามเรื่องการเดินทางได้ใจความว่า ลุงแก จะขับขึ้นไปถึงแค่ ดอยชัวร์ญ่าเท่านั้น ไม่ถึงกิ่วแม่ปาน และตอนเช้าจะลง 8 โมง ในใจผมคือ ซวยและ เราจะขึ้นกิ่วแม่ปาน ไม่มีรถ แถมจะลงหลัง 8 โมงแน่นอน ไม่มีรถอีก ตายแน่ตู แต่ตอนนี้ขอขึ้นไปก่อนแล้วกัน ตกลงราคากันไว้ที่ 60 บาท เข้าไปส่งถึงดอยชัวร์ญ่าเลยครับ

สุดท้ายลุงแกไม่รอละครับ มันจะ 4 โมงแล้ว เลยออกเดินทางกันเลย


ขึ้นมาไกลพอสมควร ฝนพรำอีกแล้วครับท่านผู้ชม  และก็ได้จอดส่งแม่ค้าลง และลุงจะไปส่งผมต่อครับในใจผมรู้สึกไม่ดียังไงไม่รู้สิ ฝนตกอีกแล้วอะ ไม่สนุกแน่เลย นี่จะมีฝนทั้งทริปเลยใช่มั้ยเนี่ย


ถึงแล้วครับ ที่พัก ดอยชัวร์ญ่าวิวสวย แผนของผมนะ กะจะนอนเต้นท์ แล้วเดินถ่ายรูปรับบรรยากาศชิวๆ ตอนนี้เหมือน แก้วหล่นแตกเพล้ง แล้วตื่นจากฝันเลยครับ ฝนมันตก และสิ่งที่ทำให้ผมแทบทรุดก็เกิดขึ้นครับ คือทางนี้ไม่รับจองเต้นท์ในตอนแรก เพราะผมโทรมาแล้วแหละ  แต่พอมาถึงจะเข้าพักที่เต้นท์ ปรากฏว่า เขาแจ้งว่าวันนี้จะไม่ออกเต้นท์ให้ เพราะว่าฝนตก !!!!  ต้องรอดูตอนเย็นว่าจะกางได้มั้ย ผมก็ขอร้อง และคุยให้เหตุผลต่างๆนาๆ แต่ไม่สำเร็จ สอบถามเป็นห้อง ก็ราคา 1000-2000 ขึ้นไป ซึ่งผมไม่มีเงินหรอก ผมมาแบบนี้ เซ็งอะครับ ไม่คิดว่าจะเจอเรื่องแบบนี้ มันทำให้ผม ทรุดเลยทำอะไรไม่ถูก
ในนาทีนั้นกับแบต 20 % ฉันจะต้องมีที่ซุกหัวนอนคืนนี้ให้ได้ จะทำยังไงดี เสิร์ชๆๆหาข้อมูลไปเลยครับ อย่างด่วน เพราะพี่เขาปฏิเสธผมอย่างไร้เยื่อใย TT  แต่ในใจก็พอเข้าใจครับ ว่า มันอาจจะเลอะเทอะแฉะ อะไรพวกนี้แหล่ะ ถึงไม่ออกเต็นท์ให้  แต่ผมหาจนเจอว่า มันมีที่พักของอุทยาน แต่ว่า หาทางไปไม่ถูก แบตก็จะหมด  10 % จึงตัดสินใจ สอบถามพี่ยาม เพราะเขาว่างจากงานพอดี  ว่า อุทยานไปยังไงทางไหนครับพี่ เขาก็ให้ความร่วมมือดีนะครับบอกว่า เดินลงไป 700 เมตร ผมยกมือไหว้เป็นการใหญ่ เพราะมันคือความหวังครั้งใหม่ของผม



และนี่คือ 700 เมตรที่ว่าครับ ต้องเดินลงไป ลาก่อนดอยชัวร์ญ่า ฉันยังไม่ทันเห็นวิวเลย เซ็งสุดๆ ใครจะกล้าเดินเข้าไปชมวิวละครับ ที่นอนยังไม่มี ในใจคิดไรไม่ออกแล้ว ระหว่างเดินลงไป แบบคิดไรไม่ออก ไม่เคยมา ไม่เคยเดิน 700 เมตร ระยะทางที่ขึ้นมานั้น มีแต่เนินเขา ขาลงก็ได้แหล่ะชิวๆ แต่ว่า !!  ฝนเจ้ากรรม ตกอีกแล้วครับท่านผู้ชม โถ่แม่มมม ตกได้ตกดี จองล้างจองผลาญ ฮ่าๆ


ผมก็ได้ทำการ โบกรถครั้งแรกในชีวิตเลยครับ เป็น มอเตอร์ไซค์ คันหนึ่ง น่าจะเป็นของชาวเขาอ่ะครับ เขาจอดด้วยครับ เราคุยกันไม่รู้เรื่องซักคำ (จริงๆครับ)  เถียงกันอยู่นาน ฝนก็ตก แกจึงบอกประมาณว่าให้ขึ้นเลย ผมก็เอาวะ ขึ้นก็ขึ้น ลุยกันไป มิตรภาพดีๆของการเดินทางอีกครั้ง กับการโบกรถครั้งแรกฮ่าๆ วันนี้อาจจะไม่เจอวิวที่สวยๆ แต่ก็เจอมิตรภาพที่ดีของการเดินทางครับ


ยกนิ้วให้เลย ภาษาไม่สำคัญเท่าความรู้สึกตรงกัน ฮาๆ  ไม่มีเวลาเก๊กหน้าหล่อครับ เอาหน้าเครียดไปก่อน


สุดท้าย พี่แกก็จอดครับ และวิ่งเข้าบ้านไป ส่งผมลงไว้ตรงไหนไม่รู้ เพลงทิ้งไว้กลางทางเริ่มดังอีกแล้ว และผมก็ไม่รู้ว่า อุทยานอยู่ไหนอย่างที่บอกครับ ความรู้ในการมานี่ เป็น 0 ก็เจอซอยครับและต้นสนเยอะๆ คงใช่หวะ เดินดีกว่าสรุป ผิดซอยครับ มาเจอกับฝนตกหนักและ ทางเละอีกแล้ว...


สภาพก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหล่ะครับ



จากนั้นผมก็ออกจากซอย  เดินตามต้นสนมาเลยครับ เห็นว่ามันเป็น อุทยาน มีป่าต้นสน ผมว่ามันน่าจะใช่นะเดินไปก็เจอครับ เชรดดด ผมแบบ ดีใจสุดๆ ตัวเปียกโชกยิ่งกว่าลูกหมาตกน้ำ ผมเดินไปถามพี่เค้าว่ามีที่พักมั้ย ตอนนั้น 5 โมงแล้วครับ ถ้าไม่ได้ที่นี่ ผมแย่แน่ๆ แต่เสียงสวรรค์ของพี่เขา ตอบออกมาว่า ‘มีครับ' ผมโคตรดีใจ น้ำตาจะไหลมากตอนนั้น แต่ก็ได้เกือบได้ไหลจริงๆ เมื่อพี่เขาบอกว่า การจองต้องเดินออกไปตรง 3 แยก (ตรงก่อนที่จะขึ้นเดินมาสู่ดอยชัวร์ญ่า ซึ่ง ไกลครับ ฝนตกด้วยและสภาพของผม แยะแล้วหล่ะ) เลยบอกไปว่ามีวิธีอื่นมั้ย เขาก็ให้ความช่วยเหลือผมอย่างดี แต่ว่าผมต้องรอนะครับ เขาบอกว่า มีพี่อีกคนนึงช่วยได้ เขาจะให้ซื้อตรงนี้ได้เลยเพียงแค่ไปดูเลขเต็นท์มา แล้วเขาจะไปออกใบตรงข้างล่างให้ ผมแบบ โคตรดีใจ รอก็รอ มีที่ให้นอนก็ดีแล้ว พี่เขาก็ชี้แนะนำมาที่ศาลา ให้ผมมาหลบฝน โชคดีอีกที่ ศาลานี้ มีที่ชาร์จแบตให้ผม  Backpack อย่างผม เตรียมปลั๊กพ่วงมา จัดเต็มครับ รอให้ฝนหยุดแล้วค่อยไปดูเลขเต็นท์


นั่งไปสักพัก เกือบๆ หกโมงเย็นแล้ว พี่อีกคนนึงก็มาแล้ว ฝนซาๆผมเลยเดินไปถาม แกก็ให้พี่คนแรก มาช่วยดูเต็นท์กับผมผมก็เดินดูๆ พี่เขาเลือกให้อย่างดีครับ (ต้องเลือกเพราะว่าฝนมันตก จะมีเต็นท์ที่เปียกน้ำบ้างพี่เขาเลือกแบบแห้งๆให้ผม) ต้องขอบคุณมากๆเลยครับ เดินวนไปวนมากันนานอยู่ครับจนเจอ  และในป่าสนแห่งนี้ วิวอาจจะไม่ได้สวย แต่ว่ามีที่ซุกหัวนอนก็ดีถมไปละครับ

คืนนี้ นอนที่นี่ครับ พี่อีกคนจัดการให้เสร็จเรียบร้อยทุกอย่าง ได้หมอน ผ้ารองนอน และผ้าห่ม (ได้เป็นถุงนอนมาเลยครับ) เสียค่าที่นอนคืนนี้ไปทั้งหมด 300 บาทครับ พี่เขาจัดการทุกอย่างให้อย่างดี ผมขอบคุณพี่เขามากๆครับ ถึงที่นี่จะไม่มีตะเกียงให้ แต่มีห้องน้ำดีๆให้เข้าและอาบน้ำก็โอเคละครับ ผมก็ใช้ไฟมือถือเอา


หลังจากจ่ายเงินเสร็จ ผมก็ถามหาร้านข้าว แต่พี่เขาตอบว่า มีข้างล่างนะ จะให้ไปซื้อให้มั้ย ... (เห้ยผมแบบ นี่เขาจะซื้อให้เลยเหรอ อะไรจะใจดีขนาดนั้น) ผมเกรงใจอ่ะครับ เลยบอกไปว่าไม่เป็นไร แต่ผมขอซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์พี่ลงไปได้มั้ยผมเดินไปเอง แต่พี่เขายังใจดี.. บอกว่าเห้ย เดี๋ยวไปส่งที่ร้านเลย จะกินข้าวสวยหรือข้าวเหนียว ผมบอกข้าวสวยครับ แกไปส่งถึงร้านจริงๆครับ แต่บอกว่าขากลับเดินกลับเองนะ ดูทางแล้วก็ไม่ไกลเท่าไหร่นะ


ผมก็มานั่งพักร่างกาย พักสมอง เครียดเกือบไม่มีที่นอน ฝนตกตลอด เปียกโชก ทรหดมากๆ แอดเวนเจอร์ไปอีก รู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่โชคร้าย หรือ ทริปนี้อาจจะโชคร้าย แต่มันก็ไม่ร้ายไปซะหมด ในความโชคร้ายก็มีเรื่องดีๆมากมาย ตั้งแต่ ผจญมาเนี่ย เจอหลายอย่างแล้วที่ดีๆ หลายมิตรภาพ หลายความช่วยเหลือ และจังหวะที่เหมาะสมเจอแต่เรื่องยากๆทั้งวัน ขอกินอะไรง่ายๆ อย่างข้าวไข่เจียวแล้วกันนะ  


สุดท้ายผมก็เดินกลับมาที่อุทยาน ฝ่าลมหนาวและไอหมอกหลังจากฝนตก เดินผ่านทางขึ้นที่แสนมืดมิด ไฟเริ่มเปิดแล้วแต่ก็เบาๆ ครับ กลับเข้ามา เดินไปอาบน้ำสุดเย็นเยือก โอยยย ควันออกปากอ่ะครับคิดดูว่าหนาวขนาดไหนฮ่าๆ มีเรื่องจะเล่าซึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือเปล่า '' คือทั้งป่านสนเนี่ย มีหลายเต็นท์ครับ แต่มีคนนอนทั้งหมดแค่ 2 เต็นท์ คือผมและอีก 1 เต้นท์ที่มาก่อน '' แต่คือระหว่างนอนตอนกลางคืน ผมกลับได้ยินเสียงคนเดินไปมามากมาย หรือจะเป็นเสียงเม็ดฝนก็ไม่แน่ใจ แต่คือแน่ๆได้ยินจริงๆ ผมก็ไม่คิดอะไรอะครับ เซฟแบต ปิดไฟมือถือ ตั้งปลุกตี 4 กะว่า จะไปโบกรถตอนตี 5 ตื่นตี 4 ไปชาร์จแบตก่อน เดี๋ยวจะไม่รอดเอาฮ่าๆ ข่มตาลงนอนให้หลับครับ และนอนคิดว่า ไม่คิดว่าชีวิตตัวเองจะมาอยู่จุดนี้ นอนคนเดียวกลางป่าสนมืดๆ เที่ยวคนเดียว ในใจก็คิดถึงบรรยากาศที่บ้านสายหมอกนะครับ คิดถึงความสบาย


นาฬิกาดังตื่นตี 4 เดินออกมา ล้างหน้าแปลงฟันอาบน้ำ แล้วก็ลงไปชาร์จแบต ตี 5 ผมเริ่มเดินลงไปที่ 3 แยก เพื่อที่จะรอโบกรถครับผม ซึ่งบอกเลยว่า บรรยากาศหนาวควันออกปากมากครับ


กะไว้ว่า จะขึ้นไปให้ทันเห็นพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิว กิ่วแม่ปาน ระหว่างโบกรถ ผมก็กล้าๆกลัว เพราะรถวิ่งกันเร็วมาก เนื่องด้วยถนนก็โล่งๆ ส่วนมากมีแต่รถเก๋ง  รถตู้ และรถเหมาที่คนเต็มแล้วจนกระทั่งมีรถกระบะ ของชาวบ้านจอดรับผม คุยๆกันพอเข้าใจ แต่เขาไปไม่ถึงครับ ไปถึงแค่ด่าน2  ผมเลยตกลงไปครับ อย่างน้อยมันก็ดีกว่าเดิน เดี๋ยวไปหารถต่อเอาข้างหน้าแล้วกัน เอ้าลุย

หนาวมากครับ และทางก็มืดสุดๆไปเลย มองไม่เห็นอนาคตกันเลยทีเดียว ผมคิดในใจว่า ถ้าเดินมาคงไม่รอดแน่ๆไม่มีไฟเลยครับ จะมีบางจุดเท่านั้น  พอมาถึงด่าน 2 ก็ลงและขอบคุณชาวบ้านครับ และเจอพี่ๆเจ้าหน้าที่ครับผมก็บอกจุดมุ่งหมาย และได้โบกรถคันต่อไป พี่ๆเขาจะไปยอดดอยอินทนนท์ครับ ผมเองก็จะขอติดไปด้วย เขาบอกไปเลย ผมก็โดดเลยครับ นั่งหลังกับ พี่ 2 คนนี้ เขาก็ชวนผม ดริ๊งค์ น่าจะเป็นเหล้าดอย ผมก็ลองชิมซักหน่อย แกชวนบอกว่าแก้หนาวนะ ฮ่าๆ พี่ๆเขามากันจาก อยุธยา ครับ ขอขอบคุณจากใจ ที่พาผมขึ้นไปจนถึงจุดชมวิวกิ่วแม่ปาน


ถึง ที่จุดชมวิว พระอาทิตย์ก็กำลังสวยเลยครับ เกือบๆ 6 โมงเช้าแล้ว ผมก็ไปขอบคุณพี่คนขับและชวนให้ลงมาลองถ่ายรูปก่อนได้ ตรงนี้คนก็เริ่มมากันเยอะแล้วครับ ก็เซลฟี่ถ่ายรูปกันไป เริ่มมีรถขึ้นมาเรื่อยๆครับ


ถือว่าเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ ครั้งแรกของผมครับ โบกรถขึ้นมาข้างบนอย่างนี้ ได้รับมิตรภาพดีๆ มากมาย แต่ การดริ๊งค์นั้น ทำให้ผมขาสั่นอยู่เหมือนกันนะ ฮ่าๆ พระอาทิตย์เริ่มขึ้นแล้วครับ อากาศยังคงหนาวแบบควันออกปาก


เนี่ยมาคนเดียวมันเป็นอย่างเนี้ย เซลฟี่กันไป  หนาวจน ระบบไม้เซลฟี่ไม่ทำงานคิดดู ต้องถอดและเสียบใหม่เรื่อยๆฮาๆ


กำลังจะขึ้นแล้ว


ยังก่อน ใกล้ละเห็นเป็นดวงละ
 

พระอาทิตย์ก็เริ่มขึ้นละครับ การที่ได้มาเห็นอะไรแบบนี้ ถือเป็นช่วงชีวิตที่น่าจดจำนะครับ กว่าผมจะขึ้นมาถึงที่นี่ได้ ไม่ใช่ง่ายๆเลย โดนฟ้าฝนกลั่นแกล้งสารพัด ฮ่าๆ  มันเลยทำให้ดูมีคุณค่าครับแสงแรกของวันมาแล้วครับ  มันช่างจ้าซะเหลือเกิน


ระหว่างถ่ายรูปจนเต็มอิ่มแล้ว ก็เซลฟี่เก็บบรรยากาศไปเยอะๆ  ผู้คนรอบข้างผมก็ใจดีกันครับ หัวเราะเฮฮา ท่าทางถ่ายรูปของแต่ละคนนั้นเหนือชั้นจริงๆ บางคนถอดเสื้อก็มี ฮ่าๆ สนุกสนานกันไปครับ แต่ก็ยังมีพี่ๆกลุ่มหนึ่ง มาถ่ายข้างๆผม ก็แซวกันบ้าง สนุกสนานดีครับ และผมก็ได้มีโอกาสถ่ายรูปให้พวกเขาครับเป็นมิตรภาพเล็กๆน่ารักๆ ของการเดินทางนี้ครับ เขาก็เสนอจะถ่ายภาพให้ผมนะครับ แต่ผมอาย ไม่เป็นไรดีกว่าฮ่าๆ


เริ่มร้อนแล้วหละครับ


หลังจากนั้น ผมว่าผมใช้เวลากับตรงนี้นานพอสมควรแล้ว เก็บขากล้องเดินไปหาไรกินซักหน่อยดีกว่า ที่จุดชมวิวนี้มีตั้งแต่ กาแฟยันข้าวเลยครับ โจ๊ก ข้าวต้ม ขนมปังปิ้ง ก็มีหมด คนแน่นร้านเลยครับ


ผมเลือกกินโจ๊กครับ ราคา 40 บาท ระหว่างรอคิวซื้อ ก็มองๆหาที่จะนั่ง ซึ่งมันไม่มีเลยครับ แถมผมนั้นมาคนเดียว จะไปนั่งโต๊ะที่มีไว้ให้คนนั่ง 4 คน ผมเองก็คงจะกินไปเกร็งไปอะ นาทีนั้นมองไปหาที่นั่งก็กะว่า จะไปนั่งกินพื้นกินใต้ต้นไม้สักต้น เพราะโจ๊กถ้วยเดียวเองนี่ไม่น่ายากอะไร แต่ก็ได้เจอกับ กลุ่มเมื่อซักครู่นี้ ที่ผมได้ถ่ายรูปให้พวกเขา และสนทนากันนิดหน่อย 1 ในกลุ่มนั้นชวนผมไปนั่งกินด้วยกัน เพราะเขาก็ทราบว่าผมนั้นมาคนเดียว (แต่ในใจผมเกรงใจนะครับ คิดว่าเขาชวนจริงๆหรือเล่นๆ) แต่เมื่อชวนแล้วเราก็ต้องไป อิอิ  ได้มีที่นั่งกินกับเขาครับ ขอบพระคุณมากๆที่ชวนผมมานั่ง


ระหว่างนั่งรับประทาน ผมเองก็เกร็งนะ เขามาเป็นกลุ่มเลย 5 คนครับ แต่ผมก็ ได้คุยกับพี่ๆเขานะครับ ก็ได้ถามไถ่กัน มาจากไหน ทำอะไร คุยกันไปคุยกันมาแลกเปลี่ยนกันครับ ได้ใจความว่า พวกพี่ๆเขา เรียน สัตวแพทย์  มาฝึกงานที่เชียงใหม่  เรียนอยู่ปี 6 โอ้ววว หลังจากผมบอกไปว่าผม เรียนปี 4  จากตอนแรก ถูกเรียกว่าพี่ ผมนี่กลายเป็นเด็กน้อยไปเลยครับ ฮ่าๆ ก็คุยกันสนุกสนานดีครับ คุยไปคุยมา 1 ในนั้น บ้านอยู่ใกล้ๆกับที่มหาวิทยาลัยผมเรียนเลย โอ้ คิดในใจว่า เราอาจจะเคยเดินสวนกันแล้วก็ได้นะฮ่าๆ เขาก็ถามว่าผมมายังไงขับรถมาเหรอผมก็บอกว่าโบกรถขึ้นมา คุยไปคุยมาเพลินดีครับ พี่ๆเขาค่อนข้างเป็นกันเองครับ ก็ถามว่าผมไปไหนมาบ้าง ผมก็เล่าไป แต่สิ่งเดียวที่เราเห็นตรงกัน คือรสชาติของโจ๊กครับ .. ไปลองชิมนะครับหลังจากอิ่มแล้วก็คุยกันไปเรื่อย ตอนแรกกะว่าจะรวมกรุ๊ปไปเดินกิ่วแม่ปานกับพวกพี่ๆเขาเลย แต่เขาไม่ได้เดินครับ เห็นว่าจะกลับเลย ผมก็แป่ว ไม่เป็นไร แต่ก็ขอบคุณที่ชวนผมมานั่งไม่คิดจริงๆเลยนะครับว่าจะมีใครชวนเนี่ย และผมได้ขอถ่ายรูปไว้ บอกว่าจะมาลงรีวิวในพันทิป ผมไม่เคยนั่งกินข้าวกับกลุ่มคนที่ไม่รู้จักมาก่อนเลยครับ ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกเลยนะครับ ตื่นเต้นดีและดีใจมากครับ(หากถ่ายรูปไม่สวยไม่ถูกใจ ขออภัยนะครับฮาๆ)


หลังจากกินอิ่มเข้าห้องน้ำเรียบร้อย ถึงเวลาลุยกันแล้วหล่ะ มัน7 โมงกว่าแล้วครับ เราไปเดินกิ่วแม่ปานกันดีกว่า ดูสิครับ กล้องขึ้นเป็นไอมาเลย ฮ่าๆ นี่คือเวลาเปิด - ปิดของที่นี่ครับ 


ระหว่างเข้าไป เหมือนเช่นเคยครับ ผมก็ได้ใช้สกิลตีเนียน ไปหาคนที่เค้าจะเข้าไปแล้วก็ขอเค้าว่า พี่ครับ ผมขอรวมกรุ๊ปไปกับพี่ได้มั้ยครับ เดินไปด้วยกัน  พี่เขาโอเคครับ (ใจดีสุดไปเลยหละ) หลังจากนั้นไกด์บอกว่า ถ้าจะไวก็ไวด้วยกัน ช้าก็ช้าด้วยกันยังจะไปมั้ย  ผมก็ โอเคไปเลย ก่อนเข้าก็ลงชื่อกันก่อนนะครับ ไม่ต้องลงทุกคน เอาแค่  1 คนก็พอครับ


พอทำอะไรเสร็จแล้ว เราก็เริ่มออกเดินทางครับ ระยะทางที่ทราบ ไกด์บอกว่า 3 กิโล 200 เมตรครับ ผมได้ออกเดินร่วมกับ พี่ ผู้ชาย - ผู้หญิง เขาเป็นแฟนกัน  กรุ๊ปเราจึงมี 3 คนครับ ระหว่างเริ่มเดินก็จะจ่ายค่าไกด์ครับ 200 บาท (ต่อทีม ไม่ใช่ต่อคนนะครับ)  แต่ผมนั้นมีแบงก์ใหญ่ ไม่มีเงินให้พี่เขา พี่เขาจึงบอกว่า ไม่เป็นไรเดี๋ยวออกให้ ผมแบบ โอ้วววโหววว ใจดีโคตรๆ  น้ำใจงามยิ่งนัก  แล้วเราก็เดินกันต่อครับ '' เส้นทางศึกษาธรรมชาติ กิ่วแม่ปาน ''


ในช่วงแรกผมนี่ฟิตมากครับ เดินสบายๆ แต่ความจริงที่โหดร้ายคือ ทางมันชันขึ้นเรื่อยๆ กระเป๋าก็หนักมากๆ เริ่มเหนื่อย อากาศหนาวก็เริ่มหายใจไม่ทัน เลยไปแบบช้าๆครับ จนเจอน้ำตกนี้ สวยงามดีครับ แต่ผมหอบแฮ่กๆไปแล้ว ผมนี่ถึงว่า พังมากครับ ไม่ค่อยออกกำลังกาย  มาเจอแบบนี้แย่เลยครับ  มันคนละเรื่องกับ เขาแหลมหญ้าเลย


ผมเดินช้ามาก เป็นตัวถ่วงเลยก็ว่าได้ ฮ่าๆ ลืมการถ่ายรูปไปเลยครับผมก็ขอโทษพี่ๆเขาว่าโทษทีพี่ทำให้ช้า แต่พี่เขาตอบกลับมาว่าไม่เป็นไรพี่ มาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกัน ผมก็ ฮึดๆ ไปเรื่อยๆ กัดฟันสู้ครับ  2 กิโลแรก ก่อนออกไปสู่ทุ่งหญ้ากว้างและแล้ว.... เราก็มาถึงทางออกสู่ทุ่งหญ้าครับ


วิวแรกหลังจากเดินออกมาครับ ถือว่า ที่เหนื่อยและหอบเมื่อกี้ เริ่มดีขึ้นแล้วครับ


เรายังเดินทางต่อครับ ต้องขึ้นเนินอีกนิดนึง ถึงจะเจอจุดชมวิวยอดฮิตครับ กัดฟันเดินขึ้นชันไปอีกนิด มองไปข้างหน้าก็เห็นกลุ่มอื่นๆ กำลังเดินเช่นกันครับ ตามๆไปกัน เกาะๆกันไป 


ระหว่างทางเดินก็จะมีที่กั้นไว้ครับ  เดินสบายๆ ไม่ต้องกลัว  และยิ่งสูง วิวก็เริ่มสวย.....


 
บุกป่าฝ่าดงกันอีกสักนิด ใกล้จะถึงแล้วครับ
 

มาถึงแล้วครับ และกลุ่มอื่นๆก็มาถึงเช่นกัน จุดชมวิว เส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน ขึ้นมาถึงบนนี้ ผมนั่งพักก่อนครับ หอบมากฮาๆ กินน้ำเสร็จจึงค่อยไปถ่ายรูป และรอให้คนเริ่มน้อยด้วยแหละครับ แต่บอกเลยนะครับ บรรยากาศ บรรยายได้ยาก ต้องมาสัมผัสเอง การที่บุกป่ามาเมื่อตะกี้ 2 กิโล ทำให้ผมรู้สึกว่า มาถึงจุดๆนี้แล้วมันคุ้มครับ กับอากาศแบบนี้ บรรยากาศแบบนี้ วิวแบบนี้ มองไปไกลสุดลูกหูลูกตา เห็นแต่ทะเลหมอก ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ ซึมซับอากาศให้เต็มปอดครับ


จุดชมวิวจะมีสองระดับครับ ข้างบนและด้านล่าง แล้วแต่ชอบเลยเด้อ


พี่ๆเขาก็แยกย้ายไปถ่ายรูปครับ 

ส่วน จขกท หน่ะเหรอ ... .ก็เซลฟี่ตามระเบียบครับ


แต่พี่เขาก็ใจดีถ่ายให้ผมครับ ผลัดกัน แลกเปลี่ยนกันไปครับ 


นี่คือวิว จากชั้นล่าง ของจุดชมวิว เส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปานนะครับ 


เจอนกด้วยครับ แต่ไม่ทราบว่าพันธ์อะไร 


ดื่มด่ำกับบรรยากาศเสร็จแล้ว เราก็เดินลง และไปกันต่อครับ  ผมดีใจมาก ขาลงนี่ชิวๆ


มีรถติดบ้างเล็กน้อยครับ เพราะแวะถ่ายรูปกัน ไม่เป็นไรครับ บรรยากาศดีๆ ยิ้มให้กันครับ


ไกด์บอกว่า ถ้ามาช่วงออกดอกจะสวยกว่านี้  ตอนนี้ดูแต่ต้นไปก่อนแล้วกัน

จากสิ่งที่ผมได้พบเจอมา ตลอดเมื่อวาน เรื่องแย่ๆ สถานการณ์แย่ๆ เอามาทิ้งไว้บนนี้ ซึมซับแต่ความรู้สึกดีๆเก็บลงไป ต่อจากนี้ เราเดินลงไปเกือบกิโล แล้วก็กลับเข้าป่าอีกครั้ง ในป่าก็ดันเจอทางชันอีกครั้งครับ ผมนี่แทบทรุด พี่เขาก็แย่เหมือนกัน555 ตลอดทางนี้แบตผมหมดแล้วครับ  ผมเก็บภาพในความรู้สึกแล้วกันนะ  ผมดันลั่นไปถามไกด์ว่า ... เคยมีคนมาถึง จุดชมวิวแล้วลงกลับไปทางเก่ามั้ย ไกด์ตอบว่ามี เขาเดินไม่ไหว ก็กลับทางกลับ เดินง่ายๆ ... ผมและพี่ๆก็บอกออกมาเลยว่า อะโห  ถ้ารู้งี้ กลับทางเก่าดีกว่า ฮ่าๆ  แต่เดินมาจะออกแล้วครับทำไงได้ ก็เดินกันต่อไป เป็นเรื่องสนุกๆระหว่างทาง ผมเดินไปคุยไปดีกว่าจะได้ลืมอาการเหนื่อย พี่เขาเล่าว่า ซิ่งมอไซค์ไปปายมา ทางโคตรเฮีย นึกว่าต้องเอาชีวิตไปทิ้งที่นั่น เพราะฝนตกหนัก แต่แกก็ฝ่าไป  ผมฟังแล้วสนุกตามเลยครับ ผมก็เล่าเรื่องของผมเช่นกัน เป็นการแลกเปลี่ยนเรื่องราวกันในป่า  คุยไปคุยมา พี่แกพักบ้านระเบียงดาว วันเดียวกับที่ผมพักบ้านสายหมอก โลกนี้ช่างกลมจริงๆครับ ฮ่าๆพอเดินออกมาได้ ผมขอบคุณพี่เป็นการใหญ่ พร้อมขอถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกในความทรงจำ ขอบพระคุณมากๆนะครับพี่


ออกมาประมาณ 9 โมงเกือบ 10 โมง ก็ไปหาอะไรกินครับ หิวแล้ว พร้อมตีเนียน ขอที่ชาร์จแบต เขาบอกว่ามีรูเดียว ผมก็จัดเลย ผมมีปลั๊กพ่วง ฮ่าๆ พี่เขาบอก งั้นไปเสียบคนเดียวตรงนู้น  ใจดีมากๆครับผมขอยืมหัวปลั๊กไว้ชาร์จ ก็ให้ผมอีกจากนั้นผมก็สั่งข้าวมากินครับ จานนี้ 50 บาท บวกข้าว 10 น้ำ 20 (สองขวดเก็บไว้ขวดนึง) อร่อยดีครับ


ระหว่างกินก็นั่งคิดนั่งเครียดว่า จะลงไปยังไงดีว้า  รถให้โบกนี่ไม่มีเลย แทบไม่มีรถวิ่งผ่าน ฮ่าๆ แต่ก็ได้คุยกับพี่เจ้าของร้านครับ แกบอกว่า จะเหมาไปกับแกมั้ย คือมีพระนั่งอยู่ก่อนแล้ว 4 คน น้องสู้ไหวมั้ย ผมก็แบบ ผมไม่ค่อยมีเงินครับพี่มีน้อย (เพราะว่า 4 บวกผมเป็น 5 ก็หารกันจากพันกว่าๆอะครับ) เขาก็เลยช่วยหาทางอื่นให้เขาก็ถามตอนแรกขึ้นมายังไง ผมก็เล่าไป  เขาเดินไปถามสองแถวให้ (สองแถวที่มีคนอื่นเหมามาแล้ว) กะจะให้ผมไปแจม
คือผมรู้สึกว่า พี่เขาใจดีมากอะครับ ลงทุนเดินไปถามให้ผม และได้คำตอบมาว่า เขาให้รอนักท่องเที่ยวก่อน แล้วรอลุ้นคำตอบอีกที ผมก็โอเค และพี่เขาบอกว่า ถ้าไม่งั้น น้องลงไปกับพี่ ไปที่ พระมหาธาตุนภเมทนีดล และพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ ก่อนโบกจากแถวนั้นจะง่ายกว่า แต่ต้องรอพระเขาโทรมาเรียกพี่ก่อนนะ ผมก็ โอเคครับ อย่างน้อย น่าจะหารถลงไปง่ายกว่าเพราะมันเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกที่นึงที่มีคนเยอะ อาจจะขอติดรถลงไปได้ง่าย

ระหว่างรอ เราก็นั่งคุยกันครับพี่เขาเล่าว่า ช่วงนี้คนยังไม่เยอะเลย ปีนี้มาน้อยนะ ยิ่งช่วง กลางปี ปิดร้านเลย ไม่ขาย ไปเที่ยวทะเลกัน เขาบอกว่าคนเหนือชอบไปเที่ยวทะเลครับ  เขาใจดีมาก ให้แผนที่ผมมา 1 ใบ และผมสอบถามทางไปสนามบินเขาก็แนะนำ ให้นั่งรถไปนี่ ลงนี่ ต่อนี่ ง่าย ใกล้สะดวก โอโห โคตรมหาความรู้เลยครับ เพราะผมไม่ได้วางแผนไว้คุยกันสักพัก พระท่านก็โทรมาตามพี่เขาครับ ผมก็ได้เวลาเดินทางลงไปจากดอยอินทนนท์ครับนี่คือผมหน้าพี่เจ้าของร้านครับ ใจดีและเป็นกันเองมาก ช่วยผมได้มากจริงๆ จะไม่ลืมเลยครับ ใครผ่านไปก็อุดหนุนร้านไก่ย่างของแกได้นะครับ



ระหว่างทาง จะเข้าพระธาตุ ก็ได้เจอกับรถ เหมือนทีมงานเก็บดอกไม้ที่มันเหี่ยว ที่หน้าพระธาตุ พี่เขาให้ผมถามดูผมก็ถามว่าจะลงไปมั้ย เขาตอบมาว่าลงครับ ผมก็ โอโห จังหวะโคตรดี  ผมขอบคุณและลาพี่เขา ไปขึ้นรถคันนั้นครับ


พี่ๆใจดีมากครับ ให้ผมนั่งหน้าเลย  แถมภาพนี้ถ่ายได้จังหวะที่ พี่เขาบอกว่า ''น้อง เดี๋ยวพี่เปิดซิลลี่ฟูลให้ฟัง ขอปิดลูกทุ่งแปบ '' ผมได้ยินก็ฮาครับ โอโหสุดยอดเลยหวะ ผมบอกขอบคุณครับพี่เอาเลยๆ  


รถก็ขนไปเรื่อยๆครับเอาให้เต็ม  ได้มีโอกาสแวะเข้าพระธาตุแปบนึง เพราะเขามาเก็บในนี้ด้วย ได้ถ่ายมา 1 ภาพ

หลังจากนั้นก็เดินทางต่อครับ แต่พี่ๆเขาลงไปไม่ถึงข้างล่าง เขาไปถึงแค่ 3 แยกตอนแรกที่ผมโบกรถตอนตี 4 แต่เขาบอกว่า ลงที่ด่าน 2 จะหารถได้ง่ายกว่า  ผมก็โอเคครับ ดีกว่าเดิน เราก็เริ่มเดินทางลงไปกันครับ ระหว่างทางผมก็สอบถามไปเรื่อยครับ คุยกันสนุกดี พี่เขาบอกว่า จะเอาดอกไม้ไปฟื้นฟู ให้กลับมาสวยงาม แล้วค่อยเอามาตั้งใหม่ และเราก็คุยกันเรื่องถนน  ว่าโค้งมันเยอะ อันตราย ต้องขับช้าๆ รถเรามันหนัก ยิ่งหน้าฝนอันตรายมากเลยน้อง ผมก็ซึมซับกับ มิตรภาพนี้จนถึงที่หมาย ก็ขอบคุณพี่เขาครับ


ลงมาเจอพี่ๆที่ด่าน 2 เขาก็ถามจะไปไหน คราวนี้มันกลางวัน ผมโบกและเขาช่วยพูดให้ครับ เขาถามชาวบ้านว่า จะไปไหน ลงไปข้างล่างมั้ย รับนักท่องเที่ยวลงไปด้วย ผมโคตรดีใจอ่ะ มีรถลงไปจนได้ เห้ยเราทำได้หวะโบกรถขึ้นและลง ขอบคุณพี่เจ้าหน้าที่มากๆนะครับ สุดยอดครับ ขอบคุณรถชาวบ้านคันนี้ด้วย


ต้องขอบอกเลยว่า ด้วยความเป็นรถชาวบ้าน  ผมเหมือนนั่งอยู่ท้ายรถ ที่มี โดมินิค ทอเรตโต้เป็นคนขับ ผมนี่กลิ้งแล้วกลิ้งอีก จับแล้วก็ไม่อยู่  ขับไวมาก จนแซงรถพี่ๆที่ขนต้นไม้ โบกมือทักทายให้กันด้วย คือต้องเอาขายันไว้ มือจับอีกที เกร็งมาก 555 ขำตัวเองครับ แต่มันเป็น ฟีลกู๊ดครับ


ลงมาถึงข้างล่าง ผมก็ขอบคุณชาวบ้านครับ พอบอกขอถ่ายรูป ปิดกระจกใส่เลย ฮ่าๆ แต่ก็ขอบพระคุณครับ ถ้าไม่ได้คุณ  ผมลงมาไม่ได้แน่ๆ


เอาหละครับ มาส่งผมไว้ตรงไหนไม่รู้ ไม่ใช่ขนส่ง ไปไม่เป็นเลยครับ เลยเดินไปหาปั้มใกล้ๆ เข้าห้องน้ำถอดเสื้อออก มันร้อนแล้วครับฮ่าๆ พี่เขาบอกว่ารถเหลือง จะไป สี่แยกสนามบินได้ รถมาทุกครึ่งชั่วโมง คนที่นี่ใจดีจริงๆ


หลังจากนั้นรถก็มาครับ รอ 10 นาทีได้ ลุยๆกันไปครับ ไปให้ถึงสนามบิน เวลานี้เกือบเที่ยงครับ ไม่รีบครับ เครื่องบินออก 3 ทุ่ม

พอมาถึงสี่แยกสนามบิน รถจะจอดหน้าเซ็นทรัล ให้เราโบกรถแดง ไปสนามบิน 30 บาทครับ ผมไปนั่งรอ แต่ผมคิดว่ามันนานมากอ่ะครับ เพิ่งจะบ่ายสองเอง เครื่องออก 3 ทุ่ม ระหว่างรอก็เห็นพี่ๆเค้าจะนั่งเครื่องไปเชียร์บอลไทยกันด้วยแหล่ะ


ผมไม่รู้จะไปไหน ว่าจะขึ้นดอยสุเทพก็กลัวกลับมาไม่ทัน เอาเป็นว่า ออกไปเดินเล่นเซ็นทรัลละกัน จากป่า มาเข้าห้าง ความรู้สึกแปลกๆมากครับ ฮ่าๆ พอได้เวลา ก็กลับไปสนามบิน ระหว่างรอก็เชียร์บอลกันตรงนี้แหละครับ


จากนั้น ผมก็เดินทางกลับครับ ตามเวลา  คงต้องลากันไปก่อนแล้วหละเชียงใหม่ ไว้พบกันใหม่นะ

'' การเดินทางครั้งนี้ สอนอะไรให้ผมหลายอย่างครับ ไม่รู้สิสำหรับผมมันแปลกใหม่ เก่าของใครใหม่ของผม 
เรียกได้ว่าการมาครั้งนี้ครบรสมากครับ เจอทั้ง สุข เศร้า เหงา เครียด สนุก รอยยิ้ม หัวเราะ มึนๆงงๆ 
และมิตรภาพที่ดี ของคนที่นี่และนักท่องเที่ยว มันทำให้ผมคิดว่าการมาเที่ยวคนเดียวก็ไม่ได้แย่อะไร ด้วยโชคด้วยจังหวะ
ทำให้ผมพบเจอสิ่งดีๆ คนดีๆ ที่เขายื่นมือมาช่วยเหลือเด็กตาดำๆอย่างผม ซึ้งเลยครับฮ่าๆ มีโอกาสจะกลับไปเที่ยวอีกแน่ๆ
Backpack คนเดียว ผมเริ่มติดใจและชอบมันซะแล้วสิครับ ''


== สรุปค่าใช้จ่าย==

 สุดท้ายนี้ขอบคุณที่ติดตามร่วมเดินทางด้วยกันมาตั้งแต่ต้นจนจบครับ 
 


เขียนโดย
Admin Chillpainai
Admin Chillpainai