bar_chart
0
favorite
0
shopping_cart
0
ยังไม่มีสินค้าในตะกร้า.

Timehop China ตามรอยละครดังแดนมังกรแบบฟินๆกับทริป 5 วัน 3 คืน

calendar_month 19 พ.ค. 2017 / stylus Admin Chillpainai / visibility 16,559 / ทริปตัวอย่าง

 

 



 ไปเมืองจีน จะไหวเหรอวะ

 ขอให้โชคดีมีชัยในประเทศจีนว่ะเพื่อน

 มุงอย่าลืมทิชชู่เปียก

 ระวังหมูปลอมนะโว้ยย !!

ไป "เมืองจีน" แค่เนี้ยอวยพรเล่นใหญ่ซะเหมือนมีใครไปออกรบ ! แต่เอาจริงในชีวิตนี้ก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองอยากไปเที่ยวจีนมาก่อนเหมือนกันนั่นแหละ พูดก็พูดเถอะ จะมีใครไม่รู้กิตติศัพท์ของประเทศนี้บ้างจริงปะ ? โดยเฉพาะเรื่องห้องน้ำ กับมนุษย์ป้าชาวจีนอันลือเลื่องที่ใครๆก็พากันขยาดทุกทีที่พูดถึง แต่วันนี้แหละเราจะขอลองสวมวิญญาณทัวร์ไทยไปสำรวจเมืองเก่าแก่ของจีน ที่เคยได้แต่เห็นผ่านตาจากหน้าจอทีวีสมัยเด็กดูบ้าง จะได้รู้ว่าจีนฉบับโหด มันส์ ฮาของเรา ไม่ได้ขึ้นชื่อแค่ห้องน้ำกับของกินนาจา เพราะเมืองประวัติศาสตร์ที่เราไปทัวร์มานั้น ก็เด็ดไม่แพ้กันเลยล่ะ ขอบอกกกก.....
 



 
วันแรกแห่งการเดินทางของเรายังไม่ได้ทำอะไรมาก นอกจากการนัดเจอกับเพื่อนในทีมที่สนามบินสุวรรณภูมิตอน 23.00 น. หลังจากทำการเช็คอินโหลดกระเป๋าเรียบร้อย ก็แยกย้ายกันไปหาร้านอาหารอร่อยๆ รองท้องกันตามใจชอบ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องหิ้วท้องไปรอทานมื้อเช้าบนเครื่อง 
 


แล้วในเวลาตี 2 กว่าๆ เราก็ได้ฤกษ์ออกเดินทางเหินฟ้าสู่เมืองเจิ้งโจว ด้วยสายการบิน Thai Smile ที่เค้าเพิ่งจะทำการเปิดเส้นทางบินตรงกรุงเทพ - เจิ้งโจว โดยเครื่องที่เราบินเป็นแอร์บัส A320-200 ซึ่งเปิดให้บริการ 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ คือ วันพุธ วันศุกร์ และวันอาทิตย์ ในราคาเบาๆเริ่มต้นที่ 4,860 บาทเท่านั้นค่ะ ที่สำคัญคือราคานี้ทางสายการบินเค้ารวมทุกอย่างไว้ให้แล้วด้วยนะ ดี๊ดีอะ ถูกใจคนชอบเที่ยวอย่างเราเอามากๆ ><


ห่มผ้า กอดหมอน นอนฝันดีกันไปจนเต็มอิ่ม ลืมตามาอีกที ล้อเครื่องบินก็แตะลงสู่สนามบินเจิ้งโจวอย่างนุ่มนวล ว่าแล้วก็เปลี่ยนซิมสำหรับดำรงชีพไว้เล่นโซเชียลให้เรียบร้อย ไม่ว่าจะเฟซบุ้ค ไอจี ไลน์ ทวิตเตอร์ ก็ไม่ต้องกลัวจะโดนบล็อคแต่อย่างใด  เพราะ Sim2Fly ที่เราเลือกใช้นั้นสามารถเล่นเน็ตแบบลื่นปรี๊ด อัพรูปอวดชาวบ้านได้ตลอดทั้งทริปเลยล่ะ

 พูดถึง " เ จิ้ ง โ จ ว " หลายคนอาจยังไม่คุ้นหูกับชื่อนี้มากนัก แต่สำหรับคนจีนและนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว เจิ้งโจวเป็นอีกเมืองหนึ่งของประเทศจีนที่ได้รับความสนใจค่อนข้างมาก เพราะที่นี่เป็นศูนย์กลางทางด้านการเมือง อุตสาหกรรม เศรษฐกิจ เทคโนโลยี และการศึกษาที่สำคัญของมณฑลเหอหนาน อีกทั้งยังมีประวัติศาสตร์ที่โดดเด่น จึงทำให้เมืองแห่งนี้กลายเป็นศูนย์กลางท่องเที่ยวไปด้วยเช่นกัน

 

เช้าแรกในเมืองจีน เราประเดิมกันที่ 1 ใน 7 เมืองโบราณของจีน อย่างเมืองไคฟงด้วย"หลงถิง" หรือที่ชาวจีนที่นี่รู้จักกันในนาม "ศาลามังกร" ในอดีตสมัยราชวงศ์ซ่ง ด้านบนเหนือบันได 72 ขั้น หลงถิงเคยถูกใช้เป็นสถานที่ว่าราชการขององค์ฮ่องเต้มากถึง 6 ราชวงศ์ กระทั่งต่อมาเมื่อยุคสมัยเกิดการเปลี่ยนแปลง ภายหลังจึงกลายมาเป็นสวนดอกไม้ และสวนสาธารณะให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาเยี่ยมชม พักผ่อนหย่อนใจ ถ่ายรูปเก๋ๆกันจนถึงปัจจุบัน 
 


 
ซึ่งถ้าใครที่มีโอกาสมาเที่ยว ต้องไม่พลาดการแวะเวียนมาชมสวนดอกไม้ที่นี่อย่างเด็ดขาด เนื่องจากทางหลงถิงจะมีการผลัดเปลี่ยนการจัดพันธุ์ไม้ต่างๆตามแต่ละเทศกาลไปจนถึงสิ้นปี เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของการมาเยือนเมืองไคฟงในช่วงนี้เลยก็ว่าได้ แต่นอกจากสวนดอกไม้แล้ว ด้านในก็ยังมีทะเลสาบไว้ให้ล่องเรือ นั่งรับลม ชมวิวชิลๆอีกด้วย


หลังเดินข้ามสะพาน ผ่านสวนดอกไม้นานาพันธุ์ มัวแต่ถ่ายรูปอย่างเพลิดเพลินลอดซุ้มประตูต่างๆมาเรื่อย ท้ายที่สุดเราก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าเจ้าศาลาหน้าตาละม้ายคล้ายกับพระราชวังต้องห้ามในเมืองหลวงอย่างกรุงปักกิ่ง ซึ่งด้านบนสุดของเก๋งนั้นมีแท่นหินแกะสลักมังกรประดับอยู่ภายใน เล่ากันว่าเป็นที่นั่งของปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์ซ่ง สร้างออกแบบของพระราชวังปักกิ่ง หลังคาสองชั้นตกแต่งอย่างสวยงาม จนกลายเป็นที่มาของชื่อ "หลงถิง" หรือศาลามังกร ซึ่งมีหมายความหมายว่า บัลลังก์ประทับของฮ่องเต้ ทั้งนี้ก็เพราะชาวจีนมีความเชื่อกันว่าผู้ปกครองหรือฮ่องเต้นั้น เปรียบได้กับโอรสสวรรค์ที่ลงมาปกครองบนพื้นโลก โดยมีสัญลักษณ์แทนความยิ่งใหญ่เป็นสัตว์นำโชคอย่างมังกรนั่นเอง

 พอลองมายืนอยู่ใกล้ๆขนาดนี้ เท่ากับว่าวันนี้เราได้มาเข้าเฝ้าฮ่องเต้อย่างใกล้ชิดเลยนะเนี่ย ตื่นเต้นจัง ขนาดหลับตายังจินตนาการไม่ถูกเลยว่า ในอดีตที่บรรดาขุนนางต้องมาถวายงานราชการแก่ฮ่องแต้ มันจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน 0.0




แน่นอนว่าเมื่อมีมังกรอย่างองค์ฮ่องเต้แล้ว ย่อมต้องมีองครักษ์พิทักษ์บัลลังก์ สถานที่ต่อมาเราจึงแวะมาเยี่ยมชม "ศาลเจ้าขุนศึกตระกูลหยาง" ตระกูลนักรบผู้มีคุณธรรม และขึ้นชื่อเรื่องความจงรักภักดีอย่างมากในสมัยราชวงศ์ซ่ง ทั้งยังเป็นอยู่เบื้องหลังการปกป้องคุ้มครองราชบัลลังก์ของฮ่องเต้ที่กล้าหาญสมคำร่ำลือ จนถูกนำมาสร้างเป็นละครตอนเย็นสมัยเด็กที่เราคุ้นเคย
 

ตระกูลหยาง เป็นตระกูลสายเลือดนักรบที่ลูกชายทุกคนจะต้องสืบทอดการเป็นนักรบอย่างต่อเนื่องยาวนานหลายชั่วอายุคน และเมื่อลูกชายบ้านนี้บาดเจ็บล้มตายในสนามรบ ฝ่ายลูกสะใภ้ทุกคนก็จะต้องออกมาสู้รบแทนในนามตระกูลหยางเช่นกัน ต่อมาในภายหลังที่นี่ถูกซ่อมแซ่มปรับปรุงขึ้นใหม่เป็นศาลเจ้าเพื่อให้คนทั่วไปได้ใช้เป็นที่พักผ่อน และระลึกถึงความจงรักภักดี โดยสร้างขึ้นบนพื้นที่ของบ้านตระกูลหยางแต่ดั้งเดิม
 

ด้านในแบ่งออกเป็นหลายตึกด้วยกัน อาทิ ห้องรวมหุ่นขี้ผึ้งจำลอง ห้องนักรบฝ่ายลูกชาย และห้องนักรบฝ่ายลูกสะใภ้ ห้องหุ่นขี้ผึ้งตอนลูกสะใภ้ออกรบ รวมไปถึงศาลเจ้าสำหรับเคารพสักการะ นับว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่นักท่องเที่ยวและชาวจีนให้ความสนใจมาพักผ่อนกันอย่างมากเลยค่ะ นอกจากนี้ยังอยู่ไม่ไกลจากหลงถิงประมาณ 5 นาทีเท่านั้นเอง มาที่เดียว เที่ยวได้สองที่ เรียกว่าคุ้มค่าฝุดๆ 
 

 
สำหรับสถานที่สุดท้ายของวันนี้ เราขอใบ้ด้วยเสียงแหว่หวววววู่ ~ ที่ได้ยินเสียงนี้ทีไร เป็นต้องรีบวิ่งมานั่งเฝ้าหน้าจอรอดูทุกที เพราะไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ ใครๆก็ต้องรู้ว่าเป็นเวลาที่บุรุษรูปร่างใหญ่โต ดุดัน ใบหน้าสีดำชวนให้เกรงขาม ผู้ที่ขึ้นชื่อเรื่องความยุติธรรมอย่าง "ท่านเปา" หรือ "เปาบุ้นจิ้น" กำลังจะปรากฎตัวออกจากฉากเป็นแน่ ฉะนั้น เมื่อมีโอกาสมาถึงที่ทั้งที เราเลยจะขออาสาบุกศาลไคฟงในตำนาน เพื่อพาเพื่อนๆมาพบกับท่านเปาตัวจริงเสียงจริงกันสักหน่อย
 

 
ศาลไคฟง หรือ ศาลเปาบุ้นจิ้น ศาลเก่าแก่แห่งเมืองไคฟงที่มีอายุห่างจากเดิมมากถึง 1,000 กว่าปี โดยสร้างขึ้นใหม่เมื่อค.ศ.1984 บนพื้นที่เดิม ในอดีตศาลไคฟงเป็นสถานที่ใช้ในการพิพากษาคดีของท่านเปา ผู้ว่าราชการจังหวัด(เมือง)ไคฟง คนที่ 183 และยังเป็นขุนนางที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องการผดุงความยุติธรรม แต่ความจริงแล้ว ท่านเปาที่พวกเรารู้จักกับท่านเปาตัวจริงนั้น ไม่ได้มีลักษณะเหมือนกันแต่อย่างใด

 ท่านเปาตัวจริงนั้นเป็นบุคคลร่างเล็ก ผิวขาว ไม่ได้ตัวสูงใหญ่ หน้าดำ และมีพระจันทร์เสี้ยวอยู่กลางหน้าผากแบบที่เราเห็นในโทรทัศน์ ที่เป็นแบบนั้นมีสาเหตุมาจากการเล่นงิ้ว เนื่องจากคนสมัยก่อนถือว่า ตัวละครงิ้วหน้าขาว มักคบไม่ได้ มีความเล่ห์เลี่ยมเจ้าเล่ห์ ขณะที่คนรูปร่างอ้วนท้วน ตัวใหญ่ ผิวคล้ำเข้มนั้นจะดูใจดีมีเมตตา และยังได้กำหนดให้มีตาที่สามเป็นพระจันทร์ เพื่อใช้เป็นดวงตาวิเศษ สามารถมองเห็นความจริงได้อย่างทะลุปรุโปร่ง 
 

เราเริ่มสำรวจกันตั้งแต่ห้องแรก ที่ด้านในนั้นมีจัดแสดงภาพเหมือนของท่านเปา ข้อควรรู้เกี่ยวกับกฎหมาย บทกวี และแท่นศิลาจารึกที่สลักชื่อท่านเปาและขุนนางแห่งเมืองไคฟงไว้อย่างยาวเหยียด ซึ่งวิธีหาชื่อของท่านเปานั้นสามารถทำได้ง่ายดายเอามากๆ แค่สังเกตรอยบุ๋มที่ลึกลงไปบนแป้นก็จะหาเจอได้ไม่ยาก แม้จะมองด้วยตาเปล่าก็เห็น ทั้งนี้ก็เพราะนักท่องเที่ยวนิยมมาชี้ๆจิ้มๆชื่อท่านไว้เป็นที่ระลึก จนมีเรื่องกล่าวกันปากต่อปากว่าหากใครลูบชื่อท่านเปาแล้วนิ้วที่ติดออกมาเป็นสีขาว แสดงว่าคนนั้นย่อมเป็นคนไม่ดี เนื่องจากมีสีที่ต่างไปจากคนอื่น แน่นอนว่าเราเองก็ไม่พลาดที่จะขอลองสัมผัสสักหน่อย และผลทดสอบก็ออกมาว่า... ผ่านค่าาาาา ยังพอเป็นคนดีอยู่บ้าง แม้ปกติจะเข้าวัดแล้วร้อนก็เถอะ อิ____อิ

 นอกจากนี้ก็ยังมีชุดว่าราชการของท่านเปา ผังจำลองของเมืองไคฟง และเกี้ยวสำหรับออกว่าราชการมาตั้งโชว์ให้เห็นกันอีกด้วย



หุ่นรูปปั้นสำริดของท่านเปาที่นักท่องเที่ยวนิยมมากราบไหว้ขอพร

 
และแล้วเราก็มาถึงส่วนที่เป็นไฮไลท์ของศาลไคฟง ท๊าดาาา... รูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งของท่านเปา และบรรดาผู้ช่วยในราชสำนักอย่าง หวังเฉา หม่าฮั่น จางหลง เจ้าหวู่ ตลอดจนเครื่องประหารอันเลื่องชื่อ ทั้งเครื่องประหารหัวมังกร หัวพยัคฆ์ และหัวสุนัข ที่ใช้ในการประหารราชวงศ์ ขุนนาง และประชาชนทั่วไปที่ทำผิดตามลำดับ รวมถึงตัวละครโด่งดังจากตอนราชบุตรเขยจอมโหดด้วยค่ะ อ้อ ! แต่ถ้ามองซ้ายมองขวาหาแล้วไม่เจอจั่นเจาก็อย่างงไป เพราะท่านแมวหลวงเป็นตัวละครที่ถูกสร้างเสริมเติมแต่งขึ้นมาเพื่อความสนุกเท่านั้นเอง ฮือออ เสียดายจัง T^T 


 
ความที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ ศาลไคฟงจึงมีทั้งส่วนที่เป็นทะเลสาบ และสวนร่มรื่นให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาพักผ่อน ถ่ายรูปตามอัธยาศัย หลังจากเคารพท่านเปาเสร็จ โดยส่วนตัวแล้วเราชอบที่นี่มากๆเพราะทั้งร่มรื่นแล้วยังสงบด้วย เพื่อนๆคนไหน มีโอกาสผ่านมาแถวนี้เมื่อไหร่ก็ลองแวะมาเยี่ยมท่านเปากันได้นะคะ


บริเวณริมทะเลสาบยังมีสะพาน และหอคอยสำหรับให้นักท่องเที่ยวชมวิวทะเลสาบท่านเปาในมุมกว้างอีกด้วย


ใช้พลังงานซะแบตแดงจนเต็มที่ มันก็ต้องพักผ่อนกันบ้าง คืนนี้เราเลือกพักที่โรงแรม Cheerad Hotel ค่ะ กว้างขวางใหญ่โตมว้ากกก ขนาดที่ด้านหลังมีสวนและน้ำตกจำลองให้ได้เดินเล่น ผ่อนคลายกันด้วย



เตียงนอนก็นุ่มสุดยอด นอนแล้วไม่อยากจะลุกเลย
 แถมทางโรงแรมยังมีของที่ระลึกเป็นสร้อยข้อมือรูปหัวใจไว้ต้อนรับด้วยล่ะ นั่ลล้าคคค 



แต่ก่อนที่จะนอนอย่างจริงจัง ด้วยความคึกคักกับการมาจีนครั้งแรก เราและชาวแก๊งค์เลยแอบแว้บออกไปหาอะไรแปลกๆ(แต่อร่อย)รองท้องกันที่ฝั่งตรงข้ามโรงแรมด้วยล่ะ อิอิ เป็นร้านสตรีทฟู้ดที่พวกเราใช้กูเกิ้ลทรานสเลทแปลออกมาเป็นคำว่าอะไรสักอย่าง แต่ชาวเราก็ได้สถาปนาชื่อว่าร้านป้าหวังเป็นที่เรียบร้อย ฮาาา ร้านป้าหวังเป็นร้านปิ้งย่างและเบียร์สดที่ราคาถูกมากๆๆๆๆๆแบบ x1000 เลยค่ะ ขนาดสั่งเจิมทริปไป 3 ทาวน์ และกับแกล้มอย่างหมู ไก่ เนื้อแพะไปตั้งสิบกว่าไม้ หารเฉลี่ยออกมายังตกคนละไม่กี่หยวน ซึ่งพอลองคำนวณเป็นเงินไทยก็ประมาณ 50 บาทเท่านั้นเอง โอ้โห ! ลาบปาก อิ่มเพลินกันจนคืนนี้แทบกลิ้งกลับโรงแรมไปนอนตีพุงเลยทีเดียว...
 
 



มาเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการสูดอากาศดีๆพลางเดินขึ้นเขาไปฝึกวิชากังฟูที่วัดเส้าหลินกันเถอะ.... "วัดเส้าหลิน" หรือ "เสี้ยวลิ้มยี่" ในภาษาแต้จิ๋ว วัดพุทธนิกายมหายานในประเทศจีน ที่เรารู้จักกันดีจากปรมาจารย์ชื่อดังนามตั๊กม้อ และสุดยอดวิชากังฟูจากภาพยนตร์จีนกำลังภายในหลายเรื่องจากปลายปากกาของกิมย้ง ซึ่งกินเวลาเนิ่นนานผ่านมาหลายยุคหลายสมัยจนเกือบจะกลายเป็นนิยายปรัมปรา แต่ใครจะเชื่อล่ะว่ามันมีอยู่จริง !!!

 วัดเส้าหลิน ตั้งอยู่บนเทือกเขาสูงนามซงซานในเมืองตงเฟิง เมืองเล็กๆทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ ห่างจากลั่วหยางประมาณ 70 กิโลเมตร ภายในแบ่งเป็นทั้งวัด โรงเรียน โรงฝึกวิทยายุทธ สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้หลายหมื่นคนต่อวัน 


 
เอาล่ะ... ตอนนี้ก็เตรียมตัวมุ่งหน้าสู่วัดเส้าหลินกันได้ ไปเลยค่า Go go go ~
 หากโชคดีหน่อย ก็อาจจะมีโอกาสได้เห็นลูกศิษย์ที่นี่กำลังฝึกซ้อมกังฟูกันอย่างขันแข็ง 

 


 
ภายในวัดเส้าหลินเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ดูร่มรื่นสบายตาอายุหลายพันปีหลายต่อหลายต้น และถ้าหากสังเกตดีๆจนพบว่ามีบางต้นที่มีรูบุ๋มลึกลงไปนั่นก็แปลว่า เป็นต้นที่บรรดาลูกศิษย์ของที่นี่ใช้ฝึกกังฟูทดสอบความแข็งแรงของนิ้วค่ะ บางต้นนี่บุ๋มจนลึกครึ่งนิ้วของเราเชียว !



 
ถัดออกมาจากตัววัดเพียงไม่กี่ร้อยเมตร ก็จะเข้าสู่ส่วนที่เป็นป่าเจดีย์หรือถ่าหลิน สุสานบรรจุอัฐิของอดีตเจ้าอาวาส ซึ่งมีมาอย่างยาวนานตั้งแต่ในยุคสมัยของราชวงศ์ถัง ในปัจจุบันมีมากถึง 200 องค์ โดยเจดีย์ล่าสุดจะมีการแกะสลักฐานเจดีย์ตามสมัยนิยม จำพวกโน้ตบุ้ค ไอโฟน รถยนต์ประดับไว้รอบฐาน เก๋ๆอะ
 

รีบไหว้พระ ขอพรกันอย่างว่องไว โดดขึ้นรถรับ-ส่งของทางวัดรอบละ 10 หยวน ไม่กี่นาทีเราก็มาถึงสถานที่สำหรับชมโชว์กังฟูจากบรรดาลูกศฺษย์รุ่นปัจจุบันกันแล้ว โดยเวลาทำการแสดงจะมีเพียง 2 รอบคือ 9.30 น. และ 11.30 น. เท่านั้น ต้องมาให้ทันนะไม่งั้นพลาดแล้วพลาดเลย เสียดายแย่ สำหรับราคาค่าชมนั้นจะรวมอยู่ในค่าบัตรตอนแรกเข้า 100 หยวน (ประมาณ500บาท) เรียบร้อย




แม้เช้านี้จะทั้งสนุก ทั้งฟินกันสุดๆ แต่ก็เหมือนจะยังไม่จุใจ เพราะงั้นเราเลยมุ่งหน้าสู่เมืองลั่วหยาง เพื่อสัมผัสความยิ่งใหญ่ตื่นตาตื่นใจระดับที่เป็นมรดกโลกกันต่อ ก่อนอื่นเลยต้องซื้อตั๋วเดินลอดซุ้มประตูนี้เข้าไปก่อน มันก็จะให้ฟีลเหมือนเรากำลังจะเริ่มลอดท้องมังกรอยู่หน่อยๆ 

       
เดินเล่นกินลม ชมวิวลัดเลาะริมแม่น้ำและสวนสาธารณะมาได้ไม่ไกล ก็จะได้พบกับ
สถานที่ตั้งของ "หลงเหมินสือคู" หรือ "ถ้ำผาหลงเหมิน" ซึ่งมีความหมายแปลว่า "ถ้ำหินประตูมังกร" จากการแกะสลักลึกเข้าไปในช่องเขาด้วยลักษณะทิศตะวันตกและด้านตะวันออกเป็นภูเขา มีแม่น้ำอี๋สุ่ยไหลผ่านกลาง มองดูเสมือนประตูที่มีมังกรโลดแล่นขนาบข้างอยู่ 
 


 
จากด้านหน้าประตูทางเข้าถึงหน้าผากินระยะทางประมาณ 1.2 กิโลเมตร เต็มไปด้วยโพรงหินแกะสลัก 2,345 ช่อง พระพุทธรูปสลักมากกว่า 100,000 องค์ กินอายุอานามยาวนานกว่า 1,500 ปี ไฮไลท์สำคัญที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนถ้ำผาหลงเหมิน คือการถ่ายและสักการะรูปสลักหินขนาดยักษ์ของพระนางบูเช็คเทียน จักรพรรดินีองค์แรกและองค์เดียวของประเทศจีน ซึ่งสวยงาม อ่อนช้อย ทว่ายิ่งใหญ่จนองค์การระดับชาติอย่างยูเนสโกยกย่องให้เป็นมรดกโลกมาแล้ว 
 

และถึงจะเดินมาถึงสุดทางเราไม่ต้องเดินย้อนกลับทางเดิมค่ะ เพราะบริเวณนี้จะมีลักษณะคล้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้า เป็นทางเดินบังคับตามสะพานสามารถเดินทะลุถึงกันได้หมด หรือถ้าใครขี้เกียจเดิน เค้าก็มีเรือข้ามฝากไว้บริการ
 


เหลือบมองดูนาฬิกา อ่ะๆ~ เวลายังเหลือก็ต้องรีบเก็บให้คุ้ม รสบัสพาเรามาต่อกันที่อีกหนึ่งในสถานที่สำคัญของเมืองตงเฟิงอย่าง "ศาลเทพเจ้ากวนอู" ขุนพลคนสำคัญที่รู้จักกันดีจากวรรณกรรมจีนชื่อดังอย่างสามก๊ก ผู้ขึ้นชื่อเรื่องความซื่อสัตย์ และได้รับการยกย่องให้เป็นเทพเจ้าที่สำคัญองค์หนึ่งของจีน 



ระหว่างทางเดินตลอดสองข้างทางเรียงรายไปด้วยริบบิ้นสีแดงจารึกคำอธิษฐานขอพรของนักท่องเที่ยว และสิงโตหินจำนวนหลายร้อยตัว ก่อนจะเข้าสู่ตำหนักต่างๆ 3 ตำหนัก ภายในประดิษฐานเทพเจ้ากวนอูหลากหลายปาง รวมถึงภาพเขียนสีบอกเล่าประวัติความเป็นมา





บริเวณนี้เป็นที่สักการะขอพร และช่องประตูสำหรับหยอดเหรียญบริจาค รวมถึงคำอธิษฐานของนักท่องเที่ยว
 โดยมีความเชื่อกันว่า ถ้าหยอดเหรียญลงไปแล้วเกิดเสียงดัง แปลว่า ท่านรับฟังคำอธิษฐานของเราแล้วค่ะ




สำหรับเรื่องราวตามตำนานสามก๊กนั้น หลังจากกวนอูแพ้สงครามถูกตัดคอสิ้นชีพแล้ว ส่วนศีรษะก็ได้ถูกโจโฉนำมาฝังและสร้างเป็นสุสานให้อย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ ลักษณะคล้ายภูเขาขนาดย่อมๆ พร้อมกับการปลูกต้นสนรายล้อมให้ดูสงบร่มเย็น จนกลายมาเป็นสถานที่ที่ชาวจีนเคารพศรัทธา และเดินทางมากราบไหว้มากที่สุดในประเทศ นักท่องเที่ยวที่มามักนิยมขอพรทั้งเรื่องการงาน การเงินจากท่าน 



ด้านหน้าของกวนหลิน หรือศาลเทพเจ้ากวนอูยังเป็นเหมือนศาลาคนเมืองบ้านเรา เอาไว้ให้นักท่องเที่ยวได้มาออกกำลังกาย
 แอโรบิค ปั่นจักรยาน รวมถึงยังมีร้านค้าต่างๆ อาทิ ร้านเสื้อผ้า ร้านอาหาร ซุ้มเกมส์ ให้ได้สนุกกันอีกด้วยค่ะ
 เลยมีชาวจีนทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็กไปจนถึงคนแก่ ออกมาเดินเล่นพักผ่อนกันเยอะแยะเชียว




คืนนี้เรานอนพักกันที่โรงแรม Hilton Zhengzhou ค่ะ เรียกได้ว่าเป็นโรงแรมใหญ่ประจำเมืองนี้เลย แถมยังอยู่ใกล้กับแหล่งช้อปปิ้ง ร้านของฝาก ร้านอาหารหน้าตาน่าทาน ตลอดจนร้านอื่นๆอีกเพียบ แอบเลียบๆเคียงๆส่องจากหน้าต่างห้องแล้วต้องร้องอู้วหูว ก็ฝั่งตรงข้ามน่ะมีทั้ง Starbucks , KFC , Pizza Hut ที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงเลยล่ะ แต่วันนี้หมดแรงเกินกว่าจะชิลไหว ขอนอนเอาแรงไว้ช้อปต่อพรุ่งนี้แล้วกันนะ คร่อก....ZzzZz



 

 

วันสุดท้ายใกล้มาถึงเต็มที มันก็ต้องเป็นอะไรที่ประทับใจมากหน่อย เราตัดสินใจยกเวลาทั้งหมดของวันนี้ให้กับ "อุทยานหยุนไถ่ซาน" หนึ่งในอุทยานสวรรค์ของจีนที่ได้ชื่อสวยงามที่สุดในมณฑลเหอหนาน มีพื้นที่กว้างขวางมากถึง 190 ตารางกิโลเมตร การันตีด้วยความงามระดับ 5 ดาว ถึงขนาดได้รางวัลมรดกโลกจากยูเนสโกมาเก็บไว้ในอ้อมกอดอีกหนึ่งแห่ง กับภาพบรรยากาศของภูเขาสูงตระหง่าน โอบล้อมด้วย เมฆ และหมอกที่ด้านบนยอดเขาตลอดปี 
 

การจะเข้ามาถึงด้านในได้ต้องนั่งรถของอุทยานค่ะ ให้อารมณ์เหมือนกำลังนั่งรถขึ้นดอยในบ้านเราอยู่เหมือนกันนะ โดยค่ารถจะรวมกับค่าเข้าราคา 120 หยวนเช่นกัน ไม่ต้องเสียยิบย่อยให้วุ่นวายอีกหลายต่อ มันดีตรงนี้แล แต่นอกจากหุบเขาหินแดงที่เราไปแล้ว ภายในหยุนไถ่ซานเองยังมีสถานที่เที่ยวอื่นๆอีกหลายจุดเลย ซึ่งถ้าใครอยากอยู่เที่ยวต่อให้ครบก็จะใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน ด้านในก็จะมีภัตตาคาร โรงแรมไว้คอยอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว






ยิ่งเดินลึกเข้าไปด้านใน ทัศนียภาพยิ่งสวยงามสมคำร่ำลือแบบไม่ต้องสงสัย เริ่มตั้งแต่การเดินลัดเลาะตามช่องเขา ลงไปที่ไฮไลท์อย่างหุบเขาหินแดง ซึ่งตลอดระยะทาง 4 กิโลเมตรกว่าๆนั้นจะมีจุดชมวิวสวยๆงามๆ รวมถึงน้ำตกให้เห็นอยู่หลายแห่ง สามารถเที่ยวชมได้ทุกฤดู และยิ่งสวยงามมากเป็นพิเศษในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ที่จะเต็มไปด้วยสีสันของใบไม้หลากหลายจนได้รับการขนานนามให้เป็น "จิ้วจ้ายโกวน้อย" มาแล้ว


จากความสูงกว่า 68 เมตรที่ค่อยๆลดระยะลง ในที่สุดสิ่งที่เราทุกคนเฝ้ารอคอยมานานก็ปรากฎสู่สายตา กับความงดงามและสมบูรณ์ราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์ขนาดย่อม ซึ่งต่อให้ถ่ายภาพออกมายังไง จะใช้กล้องดีแค่ไหน เราก็การันตีได้เลยว่ามันสวยไม่เท่ากับสู้มาเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้งจริงๆ สวยจนยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าในหุบเขาลึกของประเทศจีน จะมีสถานที่ถูกซ่อนเร้นจากธรรมชาติสวยงามขนาดนี้ซุกซ่อนอยู่ หากบางวันโชคดีมีแสงแดดอ่อนๆทะลุผ่าน นักท่องเที่ยวที่มายังอาจมีโอกาสได้เห็นสายรุ้งพาดโค้งจากภูเขาฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่งอีกด้วย


 
ละอองน้ำใสสะอาด กระจายเหมือนละอองปุยนุ่น เย็นชื่นใจสุดๆ ใครเดินมาถึงตรงนี้ต้องไม่พลาดเซลฟี่หรือถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกกันเกือบทุกคน





หลังจากเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆก็ยังเจอน้ำตกอีกสองสามแห่ง และบรรยากาศสวยๆให้เราหยุดยืนซึมซับธรรมชาติอีกหลายมุม



บางจุดก็จะแอดเวนเจอร์อยู่นิดหน่อย ต้องออกแรงปีนเขา ใช้กำลังขากันบ้าง


ตลอดทางที่เดินมาจะว่าเหนื่อยก็เหนื่อย แต่ก็สวยเพลินหูเพลินตาด้วยมากกว่า เหมือนได้เปลี่ยนบรรยากาศมาเดินออกกำลังกายยังไงยังงั้น สำหรับจุดสุดท้ายจะเป็นจุดขึ้นรถของอุทยาน ลักษณะคล้ายกับเราอยู่บนสันเขื่อนขนาดใหญ่ โดยรอบยังมีร้านขายของที่ระลึกตั้งเรียงรายให้เลือกช้อปกันได้ตามใจชอบ
 

ถึงวันนี้จะเดินกันจนขาลากหลายกิโลแต่เพราะเป็นคืนสุดท้าย เราจึงไม่ขอพลาดการออกไปตระเวนราตรี เอ้ย ! ออกไปเดินเล่นในเมืองที่เราพลาดไปเมื่อวานต่างหาก เริ่มกันตั้งแต่เข้าซูเปอร์มาเก็ตไปล้มละลายกับของฝาก ทดลองกินไก่ KFC แกล้มเบียร์เมืองจีน แวะไปดูของเล็กๆน้อยๆในเซเว่นปลอม(?) ส่วนเหตุที่เรียกกันว่าเซเว่นปลอมก็เพราะว่า ตัวร้านรวมถึงโลโก้นั้นดูเผินๆเหมือนเซเว่นบ้านเรามากค่ะ แต่พอสังเกตดีๆอีกที อ้าว มันบ่ใจ้เซเว่นอะ เป็นแค่ร้านสะดวกซื้อธรรมดา แหม...หลอกกันซะเนียนเลยนะ !! 


เราจบทริปนี้ด้วยการตระเวนชิมสตรีทฟู้ดรถเข็น ที่บอกได้คำเดียวว่าเด็ดมากกกกก แม้จะคุยกับแม่ค้าไม่รู้เรื่องสักนิด แต่ก็อาศัยทั้งภาษาอังกฤษสปีคอิงลิชฟุดฟิดฟอไฟ ภาษามือ และกูเกิ้ลทรานสเลท(เจ้าเก่า)เข้าช่วย มึนๆงงๆปนกันไปกะอิแค่ไก่ 3 ไม้ในราคา 8 หยวน ฮาาาา จากนั้นจึงหอบพุงน้อยๆรีบกลับโรงแรมกลับมาจัดระเบียบกระเป๋าเพื่อเตรียมกลับบ้านในวันพรุ่งนี้ สำหรับคืนนี้หลับฝันดีราตรีสวัสดิ์จากเมืองเจี้ยวโจวค่า :D
 


 

 

หลังจากแพ็คกระเป๋าไปด้วยใจตุ้มๆต่อมๆว่าน้ำหนักจะเกินรึเปล่าอยู่ตลอดทริป ในที่สุดวันที่ต้องกลับบ้านก็มาถึง โชคดีหน่อยที่สายการบินไทยสมายด์ให้น้ำหนักกระเป๋ามากถึง 20 กิโล เราเลยหอบหิ้วของติดไม้ติดมือกลับมาฝากคนที่บ้านและออฟฟิศกันแบบครบถ้วนไม่มีตกหล่น อิอิ คราวนี้ก็ถึงเวลาโบกมือบ๊ายบายเมืองจีนกันอย่างจริงจังสักทีแล้วล่ะ แต่รับรองว่าคราวหน้ามีโอกาสเมื่อไหร่ ต้องได้มาเจอกันใหม่รอบที่สองสามสี่แน่นอน.... ไจ้เจี้ยนน้าาาา 
 

 

เรื่องและภาพโดยชิลไปไหน
 ขอบคุณผู้สนับสนุนการเดินทางจาก

สายการบิน Thai Smile

 

เขียนโดย
Admin Chillpainai
Admin Chillpainai