bar_chart
0
favorite
0
shopping_cart
0
ยังไม่มีสินค้าในตะกร้า.

รีวิว เมื่อฝันมันงอกจึงต้องออกไปเก็บฝัน ขับรถเที่ยวยุโรป ออสเตรีย-อิตาลี-สโลเวเนีย-เยอรมัน ทริปนี้เพื่อเธอทั้ง 2 คน

calendar_month 27 ส.ค. 2015 / stylus Admin Chillpainai / visibility 55,668 / เที่ยวต่างประเทศ


เพื่อนๆ มีใครเหมือนผมบ้างไหมครับ เป็นมนุษย์เงินเดือนที่ฝันว่าจะทำงานและหารายได้พิเศษเพื่อให้ได้มีโอกาสท่องเที่ยวต่างประเทศปีละสักครั้งนึง... มันไม่ได้เป็นฝันที่ยิ่งใหญ่หรอกและเชื่อว่าหลายๆ คนคงฝันแบบนี้เช่นกัน  สำหรับผมได้ฝันและทำฝันนั้นให้เป็นจริงมาสักพักแล้ว แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป “ความฝันมันงอก” ผมจึงต้องปฏิบัติภารกิจออกไปตามเก็บฝันอีกครั้ง... เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ  

จุดเริ่มต้นของความฝัน (ครั้งใหม่)

ลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 54 ผมแบ่งเงินจากรายได้ส่วนหนึ่งไว้สำหรับเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อตักตวงประสบการณ์และความทรงจำดีๆ ในช่วงที่ยังคงมีแรงกายมากพอๆ กับแรงใจ... ยุโรปเป็นจุดหมายที่ผมเลือกในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะเมืองต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ในอ้อมกอดของธรรมชาติ เพราะทำให้ผมได้สัมผัสกับภูมิประเทศและบรรยากาศที่แตกต่าง ที่สำคัญมีวิวสวย ๆ ให้คนบ้าถ่ายภาพอย่างผมได้เสพมากมาย  โดยแต่ละทริปผมจะเช่ารถขับกับเพื่อนๆ ในกลุ่ม ซึ่งแต่ละปีก็เปลี่ยนจุดหมายไปเรื่อย โดยยังคงวนเวียนอยู่ในโซนยุโรปนี่เอง 

ลับมาจากทริปแต่ละครั้ง นอกจากจะเขียนรีวิวใน pantip, blog และลงภาพบน facebook page ของตัวเองแล้ว  ผมก็มักนำภาพถ่ายมาเปิดผ่าน TV ให้พ่อกับแม่ได้ดู ซึ่งคิดว่าท่านคงมีความสุขไม่น้อยที่ได้เห็นบรรยากาศแปลกใหม่ต่างบ้านต่างเมืองที่เราไปสัมผัสมา.. จนกระทั่งหลังทริปล่าสุดเมื่อปี 57 ที่ผ่านมา ผมเริ่มรู้สึกว่าจะดีกว่าไหม หากจะพาพ่อกับแม่ไปเที่ยวด้วยกัน เหมือนที่เราเคยไปขับรถต่างจังหวัดด้วยกันสมัยผมเด็กๆ แต่คราวนี้ผมเป็นคนพาพ่อกับแม่เที่ยวบ้าง เพื่อให้ท่านได้สัมผัสกับบรรยากาศจริง ได้เห็นวิวสวย ๆ ด้วยตาตัวเองแบบที่เราเห็นบ้าง ผมเปรย เรื่องนี้กับน้องชายและก็เห็นตรงกันว่าจะพาพ่อกับแม่และครอบครัวของน้องซึ่งมีหลานสาววัย 5 ขวบกับน้าไปขับรถเที่ยวยุโรปด้วยกัน โดยช่วยกันออกค่าใช้จ่าย... ตั้งแต่วันนั้น ภารกิจในการออมเงินของผมสำหรับทริปเก็บฝันก็เริ่มขึ้น  ผมแบ่งเงินส่วนหนึ่งจากรายได้พิเศษนอกเหนือจากเงินเดือนมาเข้าบัญชีไว้ ที่เหลือก็นำไปลงทุนตามปกติ  และโชคดีที่ช่วงปลายปี 2014 ผมมีรายได้พิเศษเข้ามาพอสมควร  ทำให้ก้าวแรกของความฝันเริ่มต้นด้วยดี ทีนี้ก็ได้เวลาเลือกจุดหมายกันซะที

จุดหมายในฝัน

สำหรับกาเดินทางท่องเที่ยว 12 วันเต็มในทริปนี้ ผมเลือกให้พ่อกับแม่สัมผัสกับความสวยงามของออสเตรียเป็นหลัก และนั่งรถชมความสวยงามของเทือกเขา Dolomites ทางตอนบนของอิตาลี  นอกจากนี้ก็มีโฉบเข้าไปในสโลเวเนียกับเยอรมนีนิดหน่อย  โดยเน้นไปที่แหล่งท่องเที่ยวในเมืองเล็กๆ  ที่ต้องไม่ต้องเดินเท้าไกล ๆ หรือไม่ก็สามารถนั่งชมวิวจากในรถได้เลย... แน่นอนว่ายังคงแวะเมืองหลักสำคัญ ๆ ของออสเตรีย เพียงแต่ให้นำหนักกับแถบนอกเมืองมากกว่า... และนี่เป็น list ของจุดหมายของทริปนี้ครับ

Hallstatt เป็นเมืองที่ทำให้ผมอยากจะไปเที่ยวออสเตรียเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ผมจึงอยากให้พ่อกับแม่ได้ไปสัมผัสความน่ารักของเมืองริมทะเลสาบท่ามกลางอ้อมกอดของภูเขาแห่งนี้  การเยือน Hallstatt ครั้งนี้  ดอกไม้ในทุ่งหญ้าเกือบไม่มีแล้วเพราะเลยช่วง Spring และกำลังเข้าสู่ Summer แต่ดอกไม้ที่ประดับประดาตามบ้านสวยเหลือเกิน และจุดชมวิวที่เมืองนี้ก็ยังคงมีเสน่ห์ไม่เสื่อมคลายแม้ในวันที่ฟ้าฝนไม่เป็นใจนัก

Hallstatt ยังคงสวยงามแม้วันฟ้าหม่น

สมาชิกทั้ง 8 ของทริปนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่ภาพที่มีครบทุกคน เพราะส่วนใหญ่ผมจะเป็นคนถ่ายเลยไม่ได้ร่วมอยู่ในภาพด้วย  สำหรับภาพนี้มีนักท่องเที่ยวชาวจีนใจดีถ่ายให้... นาน ๆ ทีจะโพสภาพตัวเองลงกระทู้รีวิว555  แต่หลังจากนี้ขอเน้นไปที่ภาพวิวนะครับ 

Bled เป็นเพียงเมืองเดียวของประเทศสโลเวเนียที่ผมไปเยือนในทริปนี้   ผมเองก็เพิ่งเคยเที่ยวประเทศนี้เป็นครั้งแรก และยอมรับว่าตกหลุมรักในทันที เพราะนอกจากธรรมชาติที่สวยงามแล้ว  ดูเหมือนค่าครองชีพจะต่ำกว่าประเทศข้างเคียงอีกด้วย

Bled ทำให้ผมต้องหันมามองสโลเวเนีย เหมือนที่ Hallstatt  ทำให้ผมสนใจออสเตรีย

Dolomites
สำหรับนักท่องเที่ยวคนไทย  ชื่อของ Dolomites ซึ่งเป็นกลุ่มเทือกเขาทางตอนเหนือของประเทศอิตาลีนั้นอาจจะยังไม่เป็นที่คุ้นหูนัก แต่เชื่อว่าใครก็ตามที่ได้ไปเยือนดินแดนแห่งหน้าผาหินปูนแห่งนี้แล้วเป็นต้องหลงรักทุกคน... ผมใช้เวลา 4 วัน 3 คืนในแถบนี้ยังรู้สึกเลยว่าให้เวลากับ Dolomites น้อยเกินไป

Lake Misurina ที่ Dolomites สวยสะกด

ทุ่งหญ้าบนยอด Alpe di Siusi กับยอด Dolomites

 

Innsbruck เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงคุ้นเคยกับเมืองเก่าริมแม่น้ำ Inn แห่งนี้ดี ครั้งนี้ผมแวะเที่ยวในตัวเมือง Innsbruck เพียงช่วงสั้นๆ  แต่ใช้เวลาส่วนใหญ่กับกิจกรรมใกล้กับที่พักซึ่งตั้งอยู่ในเมืองกลางหุบเขาชื่อ Neustift im Stubaital ที่ห่างจาก Innsbruck ออกมาราว 25 กม. ผมรู้จักเมืองนี้โดยบังเอิญ แต่ที่นี่ถือเป็นหนึ่งใน highlight ของทริปเลยทีเดียว .. นอกจากนี้ผมยังขับรถข้ามชายแดนไปชมเมืองเล็กๆ ที่ชื่อ Mittenwald ของเยอรมนีด้วยเห็นแล้วคิดถึงปายจริงๆ 

 

Innsbruck เมืองสวยคลาสสิคแห่งออสเตรีย

Stubaital อลังการธรรมชาติใกล้ Innsbruck

Mittendwald เมืองกิ๊บเก๋ของแคว้นบาวาเรีย

Konigsee & Ramsau หากเอ่ยชื่อ Berchtesgaden ประเทศเยอรมนี หลาย ๆ คนอาจไม่รู้จัก แต่ถ้าได้เห็นภาพสถานที่ท่องเที่ยว อันเป็นไอคอนประจำเมืองนี้แล้วล่ะก็ ผมเชื่อว่าทุกคนต้องร้องอ๋อทันที ผมจึงเลือกพาพ่อกับแม่มาล่องเรือชมโบสถ์หัวหอมริมทะเลสาบ Konigsee แล้วไปทานข้าวเที่ยงกันริมธารน้ำใสที่ Ramasau

icon ของเมือง Berchtesgaden ที่หลายคนคุ้นเคย

Salzburg อีกหนึ่งเมืองที่ต้องแวะของออสเตรีย เพราะนี่คือสถานที่ถ่ายภาพภาพยนตร์ The Sound of Music ที่โด่งดังสมัยพ่อกับแม่ยังรุ่น ๆ  เลยต้องพาไปตามรอยกันหน่อย

เมืองแห่งความทรงจำในชื่อ The sound of music

Vienna เราปิดท้ายทริปกันที่เวียนนา เมืองหลวงของออสเตรีย เมืองที่ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของศิลปะคลาสสิคหลากหลายแขนง เป็นเมืองที่ผมเป็นห่วงเรื่องการเดินทางของพ่อกับแม่มากที่สุด แต่กลับกลายเป็นว่า ผมนี่เองที่หลงในเวียนนา

กล้องและอุปกรณ์ถ่ายภาพ

ทุกครั้งที่เขียนรีวิวมักมีเพื่อน ๆ ถามเรื่องอุปกรณ์ถ่ายภาพอยู่เสมอ  รอบนี้ขอบอกไว้ก่อนเลยดีกว่า อิอิ ...ทริปนี้ขนกล้องพร้อมเลนส์ไปอีก 3 ตัว  และนับเป็นครั้งแรกที่ทั้งหมดเป็นของ Nikon (เข้าสู่โหมดสาวก Nik เต็มตัว) โดย body เป็น Nikon D750 กับ Lens 20 f1.8, 24-70 f2.8 และ 70-200 f4 ตามลำดับ... ก็ถือว่าครอบคลุมความต้องการครบถ้วนและเมื่อรวมกับขาตั้งกล้องแล้วน้ำหนักไม่มากจนเกินไปสำหรับชายฉกรรจ์ตอนปลายอย่างผม 555


ก่อนชมรีวิวต่อขอฝากช่องทางการติดตามผลงานด้วยครับ
blog ของ​​ "นายมด" : www.9mot.com 
facebook page : 9Mot-Photography
Youtube : 9Mot-Photography channel
instagram : @9mot

ออกเดินทางไปเก็บฝัน

การเดินทางราว 12 ชม. โดย EVA air สู่เวียนนาเป็นไปด้วยความราบรื่น เราถึงกันราว 9:40 น. ในช่วงเช้าของวันที่อากาศค่อนข้างเย็น (คิดในใจ กรรมซะแระบอกลูกทัวร์ว่าไม่ต้องเตรียมเสื้อกันหนาวไปมากหรอก เพราะกำลังเข้าช่วง summer อากาศกำลังสบาย ^ ^) 

ออกจากอาคารขาเข้า ก็มาเจอกับบูธขาย sim มือถือพร้อม internet แต่ดูแล้วมีแบบ 3 GB ซึ่งคิดแล้วว่าน้อยไปสำหรับการแชร์กันหลายคนและต้องดูกล้องวงจรปิดด้วย ก็เลยไม่ซื้อ (คิดผิดถนัด) ที่สนามบินเวียนนาการใช้ Wheel chair ไม่ได้เป็นอุปสรรคเพราะมีลิฟท์ให้ และบางจุดก็เป็นทางลาดควบคู่กับบันได 

สำหรับการติดต่อรับรถเช่าที่สนามบินเวียนนาอาจจะต้องเดินไกลสักหน่อย  และเคาท์เตอร์ของแต่ละบริษัทก็อยู่หลบมุมเข้าไปในตึก แต่ก็ไม่ได้หายากจนเกินไป ... ทั้งนี้ผมติดต่อรับกุญแจรถและ GPS จากบริษัท Buchbinder ตามที่ได้จองไว้แล้ว  ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็จะบอกหมายเลข block ของรถที่เราเช่าไว้พร้อมกับบัตรสำหรับออกจากที่จอดรถ

เราช่วยกันขนสัมภาระไปยังที่จอดรถแบบทุลักทุเลพอสมควรเพราะมีกระเป๋าเดินทางขนาดกลางคนละใบ นอกจากนี้ยังมีกระเป๋าใส่สัมภาระส่วนกลางด้วย  ส่วนผมอาสาเป็นมือใหม่หัดเข็น Wheel chair ให้พ่อและต้องใจหายใจคว่ำเพราะทำรถเข็นตกร่องจนทำให้พ่อล้มหน้าคะมำ  โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก  แต่ก็ทำให้รู้ว่าต้องใช้ความระมัดระวังมากกว่านี้

รถที่เราได้สำหรับทริปนี้เป็นแบบ 9 ที่นั่งตามที่จองไว้  แต่เป็น Volkswagen Caravelle ซึ่งมีที่นั่ง 3แถว (3+3+3) และด้านหลังเป็นพื้นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่  ที่เพียงพอสำหรับกระเป๋าของพวกทั้ง 8 คนและ Wheel chair แบบไม่ต้องอัดแน่นนัก ... ผมทำการถ่ายภาพสภาพรอบรถอย่างละเอียด แม้ว่าจะทำประกันแบบ full insurance ก็ตาม ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นภายหลัง .. จากนั้นใช้เวลาทำความคุ้นเคยกับอุปกรณ์เล็กน้อย  กำหนดพิกัด GPS เป็นจุดหมายแรกของเราวันนี้  นั่นคือเมือง Hallstatt ที่อยู่ห่างออกไปราว 3 ชม. 

รถ Volkswagen Caravelle เป็นรถ Mini Van แต่ก็ขับไม่ยากนัก  ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าผมขับในยุโรปเป็นปีที่ 5 ติดต่อกันแล้ว  ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องไม่ชินรถพวงมาลัยซ้ายมากนัก (สงสัยรอบหน้าคงต้องลองเกียร์ manual ดูซักที)

รถสำหรับทริปนี้ของเราครับ 

เส้นทางสู่ Hallstatt มีเมฆครึ้มตลอดทาง อุณหภูมิเย็นกว่าที่ผมคิดไว้พอสมควร (ไม่ถึง 20 องศา) ทั้งนี้ตลอดทางผมแวะ super market และร้าน IT ตามเมืองต่างๆ ที่ผ่าน เพื่อหาซื้อ Sim internet ตามที่หาข้อมูลไว้ แต่การแวะกว่า 10 ร้านกลับหาซื้อไม่ได้เลย ดังนั้นถ้าเพื่อนๆ เจอบริการ sim internet ในสนามบินผมแนะนำให้ซื้อเลยครับ อย่าหวังซื้อระหว่างทาง เว้นเสียแต่ว่าเพื่อนๆ จะเที่ยวในเมืองใหญ่ๆ อาทิ Vienna, Innsbruck, Salzburg 

นอกจากแวะหาซื้อ sim card แล้วผมก็แวะถ่ายภาพ landscape ริมทางเป็นระยะ น่าเสียดายที่ทุ่งดอกหญ้าสีทองแทบจะไม่หลงเหลือแล้วสำหรับปลายเดือน มิ.ย. แต่มีดอกหญ้าหลากสีขึ้นมาแซม แต่ไม่หนาแน่นสวยงามเหมือนทุ่งดอกหญ้าสีเหลืองที่มักพบเห็นได้ราวเดือน พ.ค.

ผมขับโดยใช้เส้นทางด่วนเพราะทางบริษัทรถมี sticker ทางด่วนให้แล้วจึงช่วยให้ประหยัดเวลาได้อย่างดี (หากไม่มีสติกเกอร์แล้วไปใช้ทางด่วน ถ้าเจอตำรวจจะถูกปรับเยอะมาก)... ก่อนถึง Hallstatt เราจะเริ่มเห็นภูมิประเทศที่เป็นภูเขาเยอะขึ้น และช่วงท้ายเป็นช่วงที่ต้องขับรถไต่เขาเพื่อเข้าไปยังเมืองที่อยู่ท่ามกลางหุบเขาแห่งนี้ (บางเส้นทางอาจใช้อุโมงค์แทน)

แวะถ่ายภาพสวยๆ ริมทางระหว่างเดินทางไป  Hallstatt เป็นระยะ

เส้นทางสวยขับอย่างสบายใจ

เราแวะซื้อของสดสำหรับทานเป็นมื้อเย็นที่หมู่บ้าน Obertraun ก่อนถึง Hallstatt ซึ่งผมก็ถือโอกาสเก็บภาพบรรยากาศน่ารักของบ้านเรือนแถบนี้... สิ่งที่จะได้เห็นแทนที่ทุ่งดอกหญ้าหากมาในช่วงปลายเดือน มิย. ก็คือดอกกุหลาบครับ เพราะช่วงนี้จะแข่งกันบานเต็มที่สวยงามสดชื่นมากๆ

ผมขับรถต่อไปอีกเล็กน้อยก็ถึง Haus Lidy ที่พักประจำของผมเมื่อมาเยือน Hallstatt... ข้อดีของที่นี่คือบ้านอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองและทะเลสาบ  สามารถจอดรถที่บ้านแล้วเดินมาเที่ยวได้ อีกทั้งบ้านใกล้เรือนเคียงแถบนั้นตกแต่งสวยงามน่ารักมากๆ ผมจึงติดอกติดใจที่นี่และมาพักเป็นครั้งที่ 3 แล้ว... ข้อเสียมีนิดเดียวคือไม่มี amenities ในห้องน้ำให้ และห้องที่พัก 5 คนอาจจะคับแคบไปสักนิด แต่โดยรวมผมยังคงชอบอยู่โดยเฉพาะเมื่อได้คุยกับคุณป้า Lidy ที่จะคอยดูแลเราระหว่างอาหารเช้า  ทำให้ได้อรรธรสของความเป็นท้องถิ่นจริงๆ

 

บ้านคุณป้า Lidy ที่พักประจำของผม

วิวจากช่องลมในห้องนอนของเราครับ

เย็นวันแรกที่ออสเตรีย ผมต้องล้มเลิกแผนเดินเที่ยวริมทะเลสาบกลางคัน เพราะฝนตกปรอย ๆ ทำให้อากาศหนาวมาก อาจทำให้ไม่สบายกันได้ มีผมเพียงคนเดียวที่ออกเดินไปถ่ายภาพเล็กน้อยแต่แล้วก็ต้องยอมแพ้กับสายฝนที่โปรยปรายลงมา

เดินเก็บภาพช่วงเย็น ได้ภาพมานิดหน่อย

 

เช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นแต่เช้าออกมาดูอากาศที่ระเบียงหลังห้อง โชคดีมากที่ได้เห็นกวางป่าออกมาเดินกลางทุ่งหญ้าข้างบ้าน เสียดายที่หยิบกล้องออกมาบันทึกภาพไว้ไม่ทัน

หลังมื้อเช้าที่บ้านพักอันอบอุ่นแล้ว เราก็ออกเดินไปเที่ยวส่วนที่เป็นตัวเมืองริมทะเลสาบ ผมรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจเป็นพิเศษเพราะได้เห็นพ่อกับแม่และครอบครัวได้สัมผัสกับบรรยากาศอันสดชื่นของเมืองเล็กๆ แห่งนี้

ภาพเหล่านี้คือสิ่งที่ผมอยากให้พ่อกับแม่มาเห็นกับตา... นาทีนั้นมันแอบตื้นตันยังไงบอกไม่ถูก

  

   

  

เราเดินเที่ยวเมือง Hallstatt ไปจนถึงจุดชมวิวมหาชน (ช่วงนี้ต้องเข็น Wheel chair ขึ้นเนินใช้พลังมากพอสมควร) และเป็นจุดแรกที่เราได้ถ่ายภาพหมู่ด้วยกันครบทุกคน

เพลิดเพลินกับวิวที่จุดชมวิวมหาชนสักพัก ผมให้คนอื่นๆ เดินกลับไปทางเดิม ส่วนผมขึ้นเนินไปยังโบสถ์ที่อยู่ด้านบนเพื่อเก็บภาพมุมสูงอีกหน่อย

  

  

ฝนเริ่มตกปรอยๆ เมื่อเราเดินกลับมาถึงที่จอดรถพอดี... เราจึงโบกมือลา Hallstatt เพื่อไปยังจุดหมายต่อไปนั่นคือเมือง Bled ในประเทศ Slovenia

ระหว่างทางผมกำหนดให้ GPS โฉบเข้าไปที่ Wörthersee ซึ่งเป็นทะเลสาบที่อยู่ในเมือง Velden... เมืองนี้หาที่จอดรถฟรีค่อนข้างยาก ทำให้เราได้เก็บภาพเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ดูหลานสาวของผมจะสนุกกับการได้เห็นนกเป็ดน้ำมากเป็นพิเศษ ส่วนคนอื่นๆ ก็ตื่นตาตื่นใจกับน้ำสีเขียวมรกตในทะเลสาบที่ใสจนมองเห็นปลาตัวใหญ่เบื้องล่าง

บรรยากาศที่นี่เป็นเมืองตากอากาศมากๆ 

ลูกทัวร์ผมโดยเฉพาะคุณหลานตื่นเต้นเป็นพิเศษกับน้ำทะเลสาบใสมองเห็นตัวปลา รวมถึงเจ้าเป็ดน้อยเหมือนในนิทานเด็กด้วย

เราใช้เวลาที่นี่กันราวครึ่งชั่วโมงก็ออกเดินทางต่อสู่สโลเวเนีย

เส้นทางสู่สโลเวเนีย

ดูเหมือน GPS ที่ติดมากับรถเช่าจะไม่มีข้อมูล update ของถนนใน Slovenia ทำให้มันนำทางผมเข้ารกเข้าพงไปไกลจนผมคิดว่าต้องผิดทางแน่ ๆ เพราะเข้าป่าลึกไปทุกที (บางครั้ง GPS จะเลือกเส้นทางสายรองหากพบว่าใกล้กว่า ทำให้ผมไม่เอะใจในช่วงแรก) สุดท้ายผมต้องนำ GPS ที่ติดตัวมาจากเมืองไทยเพื่อให้นำทางแทน และพบว่าจุดหมายอยู่กันคนละฝั่งของภูเขาเลย นับเป็นโชคดีมากๆ ที่เตรียมแผนสำรองไว้

ที่พักคืนนี้เป็นแบบ apartment (บ้านแบ่งชั้นบนให้เช่าทั้งชั้น) มี 3 ห้องนอนกับห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่และครัว  อยู่ในทำเลชานเมืองห่างจากทะเลสาบ Bled ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวราว 10 กม. ที่สำคัญราคาที่พักถูกมากๆ

วิวจากที่พัก

มื้อค่ำวันนั้นเราทำอาหารทานกับข้าวสวยร้อน ๆ หลายอย่าง และมีไวน์แดงช่วยเพิ่มความอบอุ่นนิดหน่อย... และเนื่องจากช่วงนี้พระอาทิตย์จะตกราว 3 ทุ่มเศษผมจึงขอออกไปถ่ายภาพที่ริมทะเลสาบและจะได้ถือโอกาส survey สถานที่ไปด้วยในตัว... ทั้งนี้ใช้เวลาขับรถราว 15 นาทีก็ถือทะเลสาบในจุดที่ผมหาข้อมูลไว้ล่วงหน้าแล้ว...  แสงเย็นวันนี้กำลังสวยพอดีจึงถือโอกาสบันทึกภาพไว้หน่อย 

 

บรรยากาศยามเย็นริมทะเลสาบ 

เช้าวันรุ่งขึ้นเราทานอาหารเช้าทานกันเสร็จก็มุ่งหน้าไปยังปราสาท Bled ที่อยู่ริมทะเลสาบ  การมาในช่วงเช้าทำให้นักท่องเที่ยวแทบไม่มี เสียดายมากที่ทางเดินไปยังประตูทางเข้าเป็นเนินค่อนข้างชันและพื้นไม่เรียบทำให้ไมสามารถเข็น Wheel chair ขึ้นไปได้  คุณพ่อจึงขอนั่งอยู่บริเวณทางขึ้น โดยมีคุณแม่อาสานั่งเป็นเพื่อนเพราะเกรงว่าหากเกิดอะไรขึ้นจะพาลไม่สนุกกันทุกคน... ผมรู้สึกเสียดายมากที่พ่อจะไม่ได้เห็นวิวสวยๆ ด้านบนปราสาท แต่เมื่อคิดถึงเรื่องความปลอดภัยเป็นหลักผมจึงเห็นด้วยกับการตัดสินใจของท่าน

ปราสาท Bled นั้นไม่ใหญ่โตมากนัก ภายในจัดแสดงประวัติต่างและโบราณวัตถุที่สำคัญ  แต่ที่ทำให้ทุกคนต้องมาเยือนคือวิวจากปราสาทที่สวยสะกดใจมาก ๆ เพราะสามารถมองเห็นทะเลสาบที่มีฉากหลังเป็นเทือกเขา Alpe ได้อย่างเต็มตา โดยมีเกาะเล็กๆ ที่มีโบสถ์ด้านบนเป็นภาพประจำของที่นี่

  

เราใช้เวลาเดินเที่ยวและถ่ายภาพอยู่พอสมควรก็เดินทางไปยังริมทะเลสาบ ในจุดที่ผม survey ไว้ล่วงหน้าแล้ว ได้เห็นคนท้องที่มาทำกิจกรรมฤดูร้อนกันแล้วสนุกดี  ส่วนพวกเราก็นั่งจิบกาแฟริมทะเลสาบได้ฟิลมากๆ เสียดายที่การถ่ายภาพจุดนี้ควรทำในช่วงบ่ายๆ เพราะในช่วงเช้าจะเป็นการถ่ายย้อนแสง ผมเลยไม่ได้ภาพดั่งใจนัก

วันนี้เราต้องเดินทางข้ามประเทศอีกครั้ง โดยต้องขับกลับเข้าไปในออสเตรียแล้วขับลัดเลาะชายแดนเพื่อต่อไปยังเขต South Tyrol ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี โดยขาออกจาก Slovenia เราใช้เวลาสั้นกว่าขาเข้ามากเพราะใช้ทางด่วนที่เป็นอุงโมงค์ยาวหลายกม. ไม่ต้องขึ้นเขาวกวนเหมือนตอนขามา

ตลอดเส้นทางจาก Slovenia ผ่าน Austria ไปยัง Italy ผมขับผ่านภูเขาหลายลูก  ถ้านับโค้งคงไม่แพ้ขับจากเชียงใหม่ไปแม่ฮ่องสอนเป็นแน่  แต่ตลอดทางได้ชมทิวทัศน์สวย ๆ ของทุ่งหญ้าเลี้ยงวัวบนยอดเขาที่กำลังเขียวขจีต้อนรับฤดูร้อน  ... 

  

 

เมื่อเริ่มเข้าใกล้ชายแดนอิตาลี เราเริ่มมองเห็นยอดเขาหินปูนทรงเรียวสีขาวๆ เทาๆ สูงตระหง่าน และนี่คืออีกหนึ่งจุดหมายในฝันสำหรับทริปนี้ “Dolomites”

“Dolomites” เป็นกลุ่มเทือกเขาทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี ที่ผมเคยสัมผัสมาแล้วเมื่อปีก่อนหน้า (2557) แต่รอบที่แล้วยังเที่ยวไม่ทั่ว คราวนี้นอกจากได้พาพ่อกับแม่มาสัมผัสดินแดนแห่งนี้แล้ว ผมก็ถือโอกาสมาเก็บตกหลายๆ จุดที่พลาดไปเมื่อปีที่แล้ว

ที่พักของคืนนี้เป็นโรงแรมที่ตั้งโดดเดี่ยวอยู่บนไหล่เขาชื่อ Rifugio Ospitale บนเส้นทางระหว่าง Lake Misurina กับเมือง Cortina D'Ampezzo ที่เป็นเมืองท่องเที่ยวอันโด่งดังของแถบนี้.. อันที่จริงผมอยากได้ที่พักในบริเวณ Lake Misurina เลยเพื่อจะได้ถ่ายภาพแสงเช้าและแสงเย็นได้สะดวก  แต่ว่าโรงแรมแถบนั้นมักกำหนดการพักขั้นต่ำหลายคืน ลูกค้าที่พักคืนเดียวแบบผมจึงต้องพักที่โรงแรมห่างออกไปราว 13 กม. แทน

ก่อนเข้าที่พัก ผมพาทุกคนไปแวะไปชมวิวกันที่ Lake Misurina ก่อน ซึ่งรอบนี้เรียกได้ว่าเข้าสู่ฤดูร้อนเต็มตัวแล้ว เพราะบริเวณรอบๆ ทะเลสาบไม่มีหิมะปกคลุมเหมือนที่มาในเดือนพ.ค.ปีก่อน

จาก Lake Misurina ผมขับรถไปยังที่พักโดยเลือกเส้นทางที่ผ่านเมือง Cortina D’Ampezzo เพื่อเก็บภาพที่จุดชมวิวมหาชน ขับรถออกจาก Lake Misurina ได้ไม่ไกลยังไม่ถึงจุดชมวิวมหาชนเลย ก็ต้องแวะถ่ายภาพริมทางอีกแล้ว

 

 

จาก Cortina ต้องขับรถขึ้นเขาไปอีกเกือบ 10 กม. จึงถึงที่พักของเรา ที่นี่เป็นโรงแรมที่ค่าห้องสูงที่สุดของทริป แต่ต้องยอมรับว่าทั้งบรรยากาศภายในห้องและทำเลที่ตั้งสวยงามมากจริงๆ

ที่พักท่ามกลางหุบเขาของพวกเรา

หลังจากเราติดต่อเรื่องห้องพักและนำของขึ้นไปเก็บเรียบร้อยแล้ว ก็ขับรถลงมาที่ Cortina อีกครั้งเพื่อทานอาหารมื้อเย็น... เนื่องจากเป็นวันอาทิตย์และค่ำแล้ว (แต่ยังไม่มืด) ร้านรวงต่าง ๆ ในเมืองปิดกันหมด ยังโชคดีที่พอหาร้านทานอาหารได้  แต่ก็เป็นร้านในโรงแรมที่ราคาสูงพอสมควร หลังจากมื้อเย็นผมนำทุกคนมาส่งที่โรงแรม  ส่วนผมขับรถกลับไปเก็บแสงสวย ๆ ที่ Lake Misurina อีกครั้ง 

มุมเดิมแต่แสงเย็นสวยมาก

อากาศที่ทะเลสาบหนาวเย็นมาก แต่ก็แลกด้วยแสงสุดท้ายของวันที่สวยงามจับใจจริง ๆ

ขับเลยขึ้นไปบนเขาอีกหน่อย มีทะเลสาบเล็ก ๆ อีกแห่งที่พลาดไม่ได้

 

ผมพยายามทำเวลาให้เร็วที่สุดในการถ่ายภาพ Lake Misurina และ Lake Antorno ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล  เพราะเกรงว่าที่บ้านจะเป็นห่วง  ทำให้ความตั้งใจที่จะเก็บภาพดาวต้องล้มเลิกไปเพราะเวลาราว 3 ทุ่มกว่ายังไม่มืดสนิทเพียงพอที่จะเห็นกลุ่มดาว

เช้าวันรุ่งขึ้นเราทานอาหารเช้าของโรงแรม  ที่จัดไว้อย่างเรียบหรูดูดีตามมาตรฐานมิชิลิน (ร้านนี้อยู่ใน list ของมิชิลินด้วย เสียดายที่เสิร์ฟมื้อค่ำตอน 1 ทุ่มครึ่งซึ่งพวกเราเห็นว่าดึกไป คืนก่อนหน้าเราจึงลงไปทานกันในเมืองแทน) วัตถุดิบของอาหารที่นี่ต้องนับว่าดีมากและมีให้เลือกหลากหลายด้วย วันนี้เราจะขับรถจากเมือง Cortina ผ่าน pass ซึ่งเป็นเส้นทางคดเคี้ยวบนไหล่เขา ไปพักยังอีกเมืองหนึ่งในแถบ Dolomites เช่นกัน แต่อยู่ใกล้กับ Aple di Siusi ที่เป็นอีกหนึ่ง Hilight ของทริปนี้ ... 

เนื่องจากระยะทางวันนี้ไม่ได้ไกลมาก  แต่ต้องผ่านเส้นทางสูงชันและคดเคี้ยว  ผมขับรถไปก็หยุดถ่ายภาพเป็นระยะ  เพื่อให้ทั้งคนขับและผู้โดยสารได้พัก
 

วิวของเมือง Cortina จากมุมสูง

ตลอดระยะทางได้ชมวิวภูเขากันจนอิ่มเลย

 

เราแวะทานอารเที่ยงของวันกันที่ร้านอาหารบน Pass pordoi ซึ่งเป็นอีกจุดที่สวยงามมากและได้ใกล้ชิดกับหน้าหาหินปูน แต่โชคไม่ดีนักที่อากาศไม่ค่อยจะเป็นใจสำหรับการถ่ายภาพสักเท่าไหร่

จาก Pass pordoi เรายังต้องขับรถขึ้นและลงเขาอีกหลายโค้ง  ผ่านอีก Pass สวยที่ชื่อ Pass Gardena ก่อนจะถึงหมู่บ้านที่พักชื่อ Calfosch

เส้นทางจาก Pass pordoi สู่เมืองที่พัก

ฝูงวัวที่ปล่อยให้กินหญ้าบนเขา 

 

สำหรับที่พักที่นี่ GPS ของบริษัทรถเช่าหาไม่เจอ ผมจึงลองใช้ Google map จากมือถือช่วยซึ่งก็ได้ผล สามารถพาเราไปยังจุดหมายได้ ที่พักคืนนี้ชื่อ Garni Settsass เป็นโรงแรมสไตล์ท้องถิ่น  ห้องไม่กว้างนักและไม่มีลิฟท์ทำให้คุณพ่อลำบากพอสมควรในการเดินขึ้นลง (พลาดมากที่ไม่ได้เช็คให้ดีก่อน)

วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ผมลุ้นมาก เพราะได้จองทัวร์นั่งรถม้าขึ้นชมยอด Alpe Di Siusi (เอลป์ ดีซิอุซิ) ที่ผมหมายมั่นปั้นมือมากๆ ว่าจะต้องไปถ่ายภาพให้ได้ อันที่จริงการขึ้นสู่ยอด Alpe Di Siusi นั้นนิยมนั่งกระเช้าขึ้นไป แล้วไปทำกิจกรรมต่อด้านบน... ภูมิประเทศของยอด Alpe Di Siusi นั้นจะเป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนจะมีดอกหญ้าผลิบานสวยงามมาก ทั้งนี้สามารถขึ้นสู่ยอดเขาแห่งนี้ได้หลายทาง แต่ที่นิยมกันคือขึ้นจากเมือง Ortisei หรือเมือง Seiser Alm และการท่องเที่ยวด้านบนสามารถเช่าจักรยานที่มีทั้งแบบธรรมดาและแบบไฟฟ้า หรือจะนั่งรถม้าเที่ยวชมก็ได้... 

ผมพยายามหาข้อมูลว่าถ้าต้องขึ้นไปแล้วเราทั้งกลุ่มซึ่งมีเด็กและผู้สูงอายุรวมอยู่ด้วย จะเที่ยวกันอย่างไรดี สุดท้ายมาเจอบริการทัวร์รถม้า (horse carriage ride) ที่จะออกเดินทางจากเมือง Monte pana ขึ้นไปยัง Alpe Di Siusi โดยรวมอาหารมื้อเที่ยงไว้ในบริการด้วย  ทั้งนี้จะออกเดินทาง 10 โมงเช้าและกลับมาถึงเมือง Mote Pana ราวบ่าย 3 โมง... ผมเห็นว่าวิธีนี้ทำให้เราทั้งหมดได้เที่ยวไปพร้อม ๆ กัน  ไม่ต้องให้ผู้ใหญ่นั่งรอเหมือนกรณีไปเช่าจักรยาน  ผมจึงจองทัวร์นี้ไปในราคา 500 Euro สำหรับ 7 ผู้ใหญ่ 1 เด็ก  ซึ่งนับว่าไม่ถูกแต่จะว่าไปก็พอ ๆ กับ one day trip จากภูเก็ตไปเกาะสิมิลันนั่นแหละ ทั้งนี้ผมขอแถมให้หลานผมได้นั่งม้า (ตัวเล็ก) และเล่นในสวนสนุกของฟาร์มหลังจากทัวร์จบแล้ว

แผนที่วางไว้เหมือนจะลงตัว แต่ทว่าก่อนเดินทาง ทางฟาร์มที่ให้บริการขอให้ผมเลื่อนวันเพราะพยากรณ์อาการบอกว่าฝนจะตกทั้งวัน (ผมก็เห็นจากมือถือแล้วเหมือนกันแต่กำหนดการคงเปลี่ยนไม่ได้แล้ว ถ้าไม่ได้จริงก็ต้องยกเลิกไปเลย) ผมลองดูรายละเอียดของพยากรณ์แบบเป็นรายชั่วโมงบอกว่าอากาศจะเริ่มดีขึ้นตั้งแต่ 10 โมงเช้าเป็นต้นไปและฝนจะตกอีกครั้งบ่าย 3 โมงซึ่งเป็นเวลาสิ้นสุดทัวร์พอดี  ผมไม่รอช้าแจ้งไปกับทางฟาร์มว่าผมจะไปเพราะดูเหมือนอากาศจะกำลังดีขึ้นเรื่อย ๆ  แต่ถ้าไปถึงแล้วฝนตกก็ขอ cancel ซึ่งทางฟาร์มก็ยินดีตามนั้น ระหว่างทางขับรถจากเมืองที่พักไปยัง Monte Pana ต้องข้ามเขา 2-3 ลูก ซึ่งวิวสวยงามมากๆ และดูเหมือนอากาศจะดีขึ้นเรื่อยๆ ก่อนถึง Monte Pana เล็กน้อยเราต้องไต่เขาผ่านเส้นทางเล็กๆ ที่มีโค้งหักศอกจึงมาถึงจุดที่เรียกว่า Monte Pana Sport Center และฟาร์มเลี้ยงม้าซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางก็อยู่ตรงหน้า Sport Center นั่นเอง โชคดีที่เป็นวันธรรมดาและยังไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยวเต็มตัว จึงมีลูกค้าคือเรากลุ่มเดียว แต่ผมแน่ใจเลยว่าในวันหยุดหรือเทศกาลท่องเที่ยวที่นี่น่าจะมีนักท่องเที่ยวเยอะมาก ดูได้จากมีร้านอาหารขนาดใหญ่และที่พักรวมถึงกระเช้าขึ้นเขาอยู่ในบริเวณนี้ ทางฟาร์มขอเลื่อนเวลาออกไปเป็นเริ่ม 11 โมงเพื่อรอให้อากาศดีเต็มที่ซึ่งผมก็ไม่ขัดข้อง
 

บรรยากาศที่ฟาร์ม

รถม้าของพวกเราวันนี้ใช้ม้าขนาดใหญ่ 2 ตัวขนสีดำขลับดูแข็งแรงมาก เราทั้งกลุ่ม 9 คนนั่งในรถม้าแบบพอดี โดยผมกับหลานสาวจองที่นั่งด้านหน้า

ม้าเริ่มนำเราออกจากฟาร์มแล้วค่อย ๆ เดินผ่านเส้นทางขึ้นสู่ยอดเขาผ่านป่าสน และทุ่งหญ้า โดยเจอกับนักท่องเที่ยวที่เดิน trekking และปั่นจักรยานเที่ยวเป็นระยะ

 

ระหว่างทางแวะให้ม้าได้พักหนึ่งครั้ง  และเป็นอีกจุดที่เหมาะสำหรับถ่ายภาพ

ยิ่งใกล้ยอดด้านบนก็ยิ่งเห็นยอดเขาที่เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขา Dolomites ชัดเจนขึ้น ภาพเบื้องหน้าสวยงามเหมือนภาพวาดจริงๆ และฟ้าก็เป็นใจให้กับเราอย่างไม่น่าเชื่อ

เมื่อถึงบริเวณที่เป็นทุ่งหญ้าด้านบน นอกจากทิวทัศน์ที่สวยงามแล้ว ยังมีฝูงวัวที่กำลังเพลินกับการกินหญ้าให้เราได้ทักทายตลอดทางด้วย

 

  

จุดหมายของทัวร์เป็นกระท่อมบนเขาที่ถูกดัดแปลงให้เป็นร้านอาหารวิวสวย รายรอบด้วยทิวทัศน์อลังการของทุ่งหญ้าและเทือกเขา Dolomites แบบ 360 องศา ใกล้ๆ กันเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ที่นอกจากวัวแล้วก็ยังมีม้าและแพะด้วย

วิวสวยบนยอด Alpe di Siusi

 

 

มื้อเที่ยงวันนี้รวมอยู่ในค่าทัวร์แล้ว ซึ่งเราได้ทานอาหารพื้นเมืองที่รสชาติดีทีเดียว งานนี้คุณพ่อ enjoy eating เพราะสั่งเบียร์ท้องถิ่นให้ลองด้วย เราใช้เวลาบนยอด Alpe DI Siusi พักใหญ่ก็ได้เวลากลับ ซึ่งขาลงใช้เวลาราว 1 ชม. โดยม้าไม่ต้องพักเหมือนตอนขาขึ้น 

พอมาถึง Monte Pana ฝนก็เริ่มส่อเค้าว่าจะตกตามพยากรณ์เป๊ะ แต่ก็ไม่ลืมที่จะให้หลานสาวได้นั่งม้าแคระเล่น  ตามด้วยสนุกกับสนามเด็กเล่นของฟาร์มพักหนึ่งก่อนที่จะเดินทางกลับไปยังที่พัก  นับเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่แปลกใหม่และน่าประทับใจมาก ๆ  สำหรับเพื่อน ๆ ที่สนใจทัวร์นี้ก็ดูข้อมูลได้ที่ http://www.maneggio-montepana.com/eng/ ครับ

ฝนตั้งเค้าตอนเราลงมาถึงพอดี

ไม่ลืมกิจกรรมขี่ม้าของหลาน

สำหรับภาค 1 ก็ขอจบเท่านี้ก่อนนะครับ แล้วคอยติดตามภาค 2 ต่อเร็วๆ นี้ หากชอบรีวิวน้ก็ช่วยโหวตและแชร์เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับเพื่อนๆ ท่านอื่นด้วยนะครับ 


สุดท้ายฝากช่องทางติดตามผลงานอีกสักครั้งครับ

blog ของ​​ "นายมด" : www.9mot.com
facebook page : 9Mot-Photography
Youtube : 9Mot-Photography channel
instagram : @9mot

ขอบคุณเรื่องเล่าสนุกๆ จากสมาชิกพันทิปคุณ 9MOT และสามารถติดตามเรื่องการเดินทางสนุกๆ ได้ที่นี้ >> เมื่อฝันมันงอกจึงต้องออกไปเก็บฝัน ขับรถเที่ยวยุโรป ออสเตรีย-อิตาลี-สโลเวเนีย-เยอรมัน ทริปนี้เพื่อเธอทั้ง 2 คน


 

เขียนโดย
Admin Chillpainai
Admin Chillpainai
close