bar_chart
0
favorite
0
shopping_cart
0
ยังไม่มีสินค้าในตะกร้า.

เที่ยวพม่า...รับบุญฝ่าสายฝน... (ตอนที่ 2 เยือนหงสาวดี)

calendar_month 23 พ.ย. 2011 / stylus Admin Chillpainai / visibility 15,251 / เที่ยวต่างประเทศ


ตามที่ตกลงกัน เราจะเดินขึ้นพระธาตุอินทร์เเขวนกันเป็นครั้งที่สาม ในเช้าวันนี้ เราตื่นกันเเต่เช้าราวตี 5 เเล้วเดินเท้าเปล่าขึ้นสู่พระธาตุอีกครั้ง ดูเหมือนคำอธิษฐานเมื่อคืนของฉันจะไม่ได้ผล เพราะเช้านี้หมอกลงหนาเป็นที่สุด แถมมีฝนโปรยปรายลงมาด้วยซ้ำ ขนาดแหงนหน้ามองขึ้นไปยอดเจดีย์ยังมองไม่เห็นเลย อากาศบนนี้ลมเเรงเเละเย็นมาก จำเป็นมากที่จะต้องเตรียมเสื้อกันหนาวมาด้วย
 
ที่วัดมีของใส่บาตรชุดใหญ่ ขายชุดละ 2000-3000 จ๊าด ข้างในประกอบไปด้วย ขนมปัง น้ำ ผลไม้ ประมาณ 5-6 อย่าง และชุดธูปเทียนดอกไม้ ไว้สำหรับทำบุญใส่บาตรพระธาตุ เราหิ้วถาดไปไหว้ที่ด้านหน้าพระธาตุก่อนจะไปรดน้ำพระประจำวันเกิดที่ทางด้านขวา (ทุกวัดในพม่าจะมีพระประจำวันเกิด ตั้งอยู่รอบๆเจดีย์ วิธีไหว้ก็คือตักน้ำรดที่องค์พระเเละสัตว์ประจำวันเกิดที่อยู่ที่ฐานองค์พระ) อธิษฐานทำบุญถวายของ สวดมนต์กันสักรอบ เเล้วก็ฝ่าสายหมอกฝนเย็นๆกลับมาทานอาหารที่โรงเเรมกัน




 

 

ระหว่างทางเดินลงมาจากวัด ก็จะได้เห็นบรรยากาศวิถีชีวิตของผู้คนที่หลากหลาย มีพระฤาษีเดินเท้าขึ้นเขามา หาบตะกร้าสองใบ ในมือจะมีเเผ่นเหล็กแบนๆหน้าตาคล้ายกระดิ่งแบนๆ ไว้เคาะเป็นระยะๆ คงจะเหมือนกับการเดินจงกลมมั้ง   เห็นพระสงฆ์ เณรตัวน้อยๆ ก็หอบหิ้วสิ่งของไว้บนไหล่บ้าง เทินบนหัวบ้าง  บนถนนระหว่างทางก็จะมีเด็กสาวตัวเล็กๆนั่งขายของที่ระลึกเเก่นักท่องเที่ยว ส่งสายตาเศร้าๆมาชวนให้เสียเงิน  ลงมาถึงพื้นถนนข้างล่าง ก็จะมีแรงงานคนเทินก้อนอิฐหนาๆบนหัวเดินขึ้นวัดไป สงสัยน่าจะนำไปก่อสร้างอะไรสักอย่าง เเต่ที่ประหลาดใจคือ เป็นเเรงงานเด็กหญิงสาวล้วนๆ!?!



   
 

เติมพลังอาหารเช้าของโรงเเรมด้วยชุดข้าวผัด ปาท่องโก๋ เเละนมข้น อิ่มอร่อยเเล้วก็เก็บสัมภาระ พร้อมเดินเท้า ฝ่าฝนพรำ กลับลงทางเดิม  ระหว่างทางขากลับนี้ เเม้ฝนจะตกก็ไม่กลัวที่จะหยิบกล้องออกมา เพราะกลัวจะไม่มีภาพบรรยากาศเดินขึ้นลงเขานี้ ได้เก็บภาพเด็กน้อยพม่ามากมาย บางคนกำลังเล่นเป่ากบกับเพื่อนๆ บางคนก็เล่นกับพี่น้องอยู่ในบ้าน หน้าตาเเม้จะไม่สวย เเต่ก็น่ารักตามประสาเด็กๆ





สายฝนยังพร่างพราย เราเดินย่ำไปบนถนนที่เปียกเเฉะ บางช่วงน้ำตกไหลลงมาบนถนนเลยทำให้ต้องเดินลุยน้ำกันไป ส่วนใครที่เคยนั่งเสลี่ยงขึ้นมา พนง.เสลี่ยงคนเดิมจะมารอคุณถึงหน้าโรงเเรมเลยทีเดียว ไม่ต้องกลัวว่าคุณจะจำเขาไม่ได้ เพราะเขาจำคุณได้เเม่นยำมากกว่าคุณจำเขาเสียอีก




 

นี่คือหน้าตาของเสลี่ยง....เหมือนเก้าอี้ผ้าใบที่ต่อไม้ไผ่สองข้าง ใช้ลูกหาบ 4 คน หน้า 2 คน หลัง 2 คน  ค่าจ้างประมาณ 25 USD. หรือประมาณ 800 บาทไทย ส่วนค่าทิปนั้นราคาตามเเต่จิตศรัทธา เเต่ถ้าให้ก็ต้องให้ทั้ง 4 คน อาจจะประมาณคนละ 50-100 บาทก็ได้ เเต่จริงๆเเล้ว เดิมทีเค้าจะไม่มีค่าทิปเเต่เป็นเพราะคนไทยนิยมให้ทิป เค้าเลยเกิดเป็นประเพณีให้ทิปกันตั้งเเต่นั้นมา




 


กลับมานั่งรถขนหมู (รถบรรทุกทรงสูง) นั่งขโยกยังกะรถไฟเหาะกลับมายังภาคพื้นดินเช่นเดิม พอถึงถนนข้างล่างปุ๊บ...ฟ้าก็เปิด เเล้วเเดดก็ออก...อ่า ให้ได้ยังงี้สิ T^T   เราเปลี่ยนกลับไปเป็นรถทัวร์ นั่งรถย้อนกลับทางเดิม เหมือนขามาเมื่อวันก่อน กลับมายังเมืองหงสาวดีเช่นเดิม เเวะกินข้าวเที่ยงที่ร้าน "เจ้าสัว" ซึ่งมีเเม่กุ้ง ยิ่งใหญ่กว่าร้านเมื่อวานเสียอีก
 
จากนั้น เราย้อนรอยตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชไปยังพระราชวังบุเรงนอง (จำลอง) กษัตริย์พม่าองค์สำคัญแห่งเมืองหงสา  ที่นี่เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมื่อครั้งพระองค์ยังทรงพระเยาว์และถูกจับเป็นตัวประกัน ซึ่งพระราชวังของเดิมไม่มีอะไรเหลืออยู่เเล้ว เหลือเพียงเเต่ซากไม้ที่เคยเป็นเสาเท่านั้น (มีของจริงวางอยู่ข้างในอาคารด้วย) การสร้างพระราชวังนี้จึงใช้จินตนาการบวกกับการเลียนเเบบพระราชวังมัณฑะเลย์ ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมของราชวงศ์สุดท้ายของพม่า เเละยังวางผังพระราชวังตามจุดเดิมที่ค้นพบเสาไม้ฝังอยู่ในใต้ดินอีกด้วย



 

ภายในเต็มไปด้วยสีทองอร่าม เสาทองสูงต้นใหญ่เรียงรายไปตามทางเดิน เราเข้าไปดูตรงจุดที่เป็นท้องพระโรงและบัลลังก์ไว้สำหรับออกว่าการของพระมหากษัตริย์ ภายในท้องพระโรงมีการจัดเเสดงข้าวของเครื่องใช้ของกษัตริย์ ราชรถจำลอง เเละเสาไม้โบราณที่ขุดค้นพบ



 

 


ใกล้ๆวังบุเรงนองนั้น จะมีอีกหนึ่งพระตำหนัก คือ พระตำหนักที่เคยใช้เป็นหอบรรทมของบุเรงนอง ถ้ามองตามผังพระราชวังเเล้ว เเล้วจะพบว่า อยู่ตรงกับพระธาตุมุเตาหรือชะเวมอร์ดอร์พอดี  ไกด์สาวฟองนวลบอกเราว่า สมัยนั้นนิยมสร้างวังให้ตรงกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อที่ว่าเมื่อเปิดหน้าต่างมาเเล้ว จะสามารถมองเห็นเเละไหว้องค์พระธาตุได้พอดี



 

หลังจากนั้น เราก็ออกจากประตูวังเพื่อเดินทางไปไหว้นมัสการเจดีย์ชเวมอดอว์ (Shwemawdaw Pagoda) คนไทยนิยมเรียกว่า พระมหาเจดีย์มุเตา ซึ่งเป็นเจดีย์ใหญ่คู่บ้านคู่เมืองที่สูงที่สุดของพม่า  ภายในบรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า และยังเป็น 1 ใน 5 มหาบูชาสถานสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญสูงสุดของชาวพม่า สถานที่เเห่งนี้ พระนเรศวรเเละพระนางสุพรรณกัลยา เคยเดินทางมาไหว้สักการะ




 

มหาเจดีย์ชเวมอดอว์ ยังเคยผ่านการพังทลายจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่มาแล้วถึง 4 ครั้ง ครั้งล่าสุดได้ทำให้ยอดของเจดีย์องค์นี้หักพังลงมา ส่วนปลียอดที่พังลงมาก็ได้ตั้งไหว้ที่มุมหนึ่งขององค์เจดีย์เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้บูชาควบคู่ไปกับเจดีย์องค์ปัจจุบัน ดังนั้น ผู้คนส่วนมาก เวลามาไหว้สักการะ ขอพร จะใช้ธูปดัดให้งอเเละค้ำตรงหินยอดเจีย์ที่เคยร่วงลงมานั้น พร้อมกับเอาศีรษะไปสัมผัสรับพลังจากพระธาตุ เพื่อเป็นการขอพรค้ำจุนให้ชีวิตเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป




 

วัดสุดท้ายในวันนี้คือ พระนอนชะเวตาเหลียว ไหว้พระนอนใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ เเต่ที่หมดไปเป็นชั่วโมงคือ การชอปปิ้ง เพราะที่นี่ด้านหน้าวัดจะมีร้านขายของมากมาย สินค้าส่วนมากจะเป็นผ้าพม่า งานไม้แกะสลักที่ขึ้นชื่อของเมืองหงสาวดี เเป้งทานาคา เเละของที่ระลึกต่างๆ ส่วนหน้าที่พวกเราคือรุมต่อราคา กดดันเเม่ค้ากันใหญ่ ฮ่าๆๆ




 

 

นั่งรถกลับย่างกุ้ง อาหารค่ำวันนี้หรูหราไฮโซ ที่ภัตตาคารการะเวก เป็นเรือหรูริมฝั่งทะเลสาบกานดอจี มีการเเสดงเเละอาหารบุฟเฟ่ต์นานาชาติ คล้ายๆ กับไปภูเก็ตแฟนตาซียังไงยังงั้น เเต่ความใหญ่โตไม่เท่ากับของเรา ส่วนใหญ่ที่นี่จะบริการนักท่องเที่ยวเเละไว้จัดงานเเต่งงานระดับผู้นำใหญ่ๆ




 

คืนนี้โปรแกรมหมดเเค่นี้เเหละ เหนื่อชะมัดเรย พรุ้งนี้แล้ว เราจะได้ไปชมไฮไลท์ที่สุดของทริปนี้....มหาเจดีย์ชะเวดากอง...




 


 
เรื่องโดย : This road is mine
 


เขียนโดย
Admin Chillpainai
Admin Chillpainai
close