bar_chart
0
favorite
0
shopping_cart
0
ยังไม่มีสินค้าในตะกร้า.

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก)

calendar_month 01 มิ.ย. 2015 / stylus Admin Chillpainai / visibility 78,716 / เที่ยวต่างประเทศ

 

จากแต่ก่อนที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ไปยุโรป เพราะติดใจในความน่ารักของหนุ่มญี่ปุ่นเลยหลงอยู่ดินแดนอาทิตย์อุทัยซะหลายปี พอคิดถึงยุโรปก็คิดเอาเองว่าต้องใช้เงินเยอะแน่ๆ จ่ายเป็นแสนชัวร์ และเหตุผลสุดท้ายผู้ชายไม่น่ารักโมเอะ

herher

แต่อยู่ดีๆ ที่บังเอิ๊ญ บังเอิญเปิดเจอภาพในอินเตอร์เน็ต (ภาพที่เที่ยวนะจ๊ะ ไม่ใช่ภาพผู้ชาย) กับภาพเมืองง้ามงามที่ชื่อ Hallstatt เมืองริมทะเลสาบในประเทศออสเตรีย ซึ่งในภาพเป็นรูปปราสาทยอดแหลมริมทะเลสาบโดยมีฉากหลังเป็นภูเขา

บัตรเครดิต กระเป๋าตังค์ในมือฮานะมันก็สั่นไปจนหมด รีบไลน์ไปหาน้องสาวของฮานะ บอกนางว่าอยากไปยุโรป นางก็โอเชเซย์เยสทันที โดยที่ตอนนั้นเราสองคนไม่รู้ว่าจะไปเจอกับอะไร ภาษาอังกฤษก็ง่อยเปลี้ย แถมจะต้องเดินทางไปในประเทศที่เขาไม่ใช้ภาษาอังกฤษอีก

ฮานะเริ่มต้นหาข้อมูลจากประสบการณ์ของนักเดินทางท่านอื่นที่ใจดีช่วยวางรูทการเดินทางเส้นทางยุโรปตะวันออก คือ ประเทศสาธารณรัฐเช็ก ประเทศฮังการี และประเทศออสเตรีย(ซึ่งเป็นประเทศในยุโรปกลางแต่มีภูมิภาคติดกับสาธารณรัฐเช็กและฮังการี) นักเดินทางหลายท่านลงความเห็นว่า 3 ประทศนี้ค่าครองชีพถูกไม่แพงเหมือนประเทศอื่นๆ ในยุโรป และเป็นประเทศที่มีเมืองโรแมนติกมากมาย 

สุดท้ายฮานะและน้องสาวก็ตกลงกันว่าทริปของเราคือ ปราก(สาธารณรัฐเช็ก)-บูดาเปสต์(ฮังการี)-เวียนนา(ออสเตรีย)-(ฮัลล์สตัท)ออสเตรีย-ซาลซ์บูร์ก(ออสเตรีย)-เชสกีกรุมลอฟ(สาธารณรัฐเช็ค)-ปราก(สาธารณรัฐเช็ค) 

โดยการเดินทางครั้งนี้เราจะไม่ได้ใช้ตั๋วยูโรพาส เนื่องจากบางเส้นทางนั่งรถบัสจะถูกกว่ามากๆ และตั๋วรถไฟถ้าเราซื้อตั๋วเป็นรายเที่ยวหรือพาสย่อยๆ ของการรถไฟในแต่ละประเทศนั้นจะถูกกว่าการซื้อยูโรพาสอีก ซึ่งกว่าฮานะจะสรุปการเดินทางทุกอย่างได้นั้นใช้เวลาในการศึกษาข้อมูลนานหลายเดือนเลยค่ะ เพราะแต่ละประเทศก็มีการเดินทาง สกุลเงินที่แตกต่างกันออกไป มึนตื้บไปหลายวัน แต่ก็พอสรุปคร่าวๆ ได้ว่าทริปของเราจะใช้เวลา 11 วัน และตั้งงบไม่เกินคนละ 60,000 บาท 

รูทการเดินทางของเราค่ะ สัญลักษณ์ของรถที่ใช้เดินทางฮานะจะอธิบายภายหลังนะคะ

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก)

พอได้รูทแล้วก็หาวันลา โดยแพลนว่าจะไปช่วงวันหยุดสงกรานต์เนื่องจากช่วงนั้นมีวันหยุดเยอะ ทำให้ไม่ต้องลาเจ้านายนาน โดยเราวางแพลนการเดินทางของเราคือวันที่ 4-14 เมษายน 

ด้วยความกลัวว่าตั๋วช่วงสงกรานต์จะแพงฮานะก็จัดการจองตั๋วทันที ซึ่งเป็นเรื่องพลาดมากๆ เพราะฮานะจองล่วงหน้าประมาณเกือบปี ได้ตั๋วของสายการบินฟินแอร์ราคาไปกลับ 32600 บาท โดยไปลงเครื่องที่ปรากและไปต่อเครื่องหนึ่งครั้งที่สนามบินเฮลซิงกิประเทศฟินแลนด์ เวลาต่อเครื่องน้อยไปถึงปรากเย็นๆ วันกลับออกสายๆ 

ที่บอกว่าพลาดคือ หลังจากจองตั๋วไปปุ๊บไม่กี่เดือนก็มีโปรสายการบินอื่นในราคาสองหมื่นกว่าบาท ตอนนั้นร้องไห้หนักมากกันเลยค่ะ 

25

ปาดน้ำตาเสร็จก็เริ่มเดินหน้ากันต่อ โดยฮานะไปขอวีซ่าเชงเก้นที่ประเทศออสเตรียเนื่องจากฮานะอยู่ที่ออสเตรียนานที่สุดเลยขอที่นี่และว่ากันว่าที่สถานทูตออสเตรียนั้นมีความเป็นไปได้ที่วีซ่าจะผ่านมากที่สุด (เขาว่ากันมานะ)

เอกสารในการขอวีซ่าตามนี้ค่ะ

1. ใบคำร้องขอวีซ่าที่กรอกข้อมูลทุกอย่างโดยสมบูรณ์ 1ชุด
2. สำเนาหน้าหนังสือเดินทาง จำนวน 2 ใบ
3. รูปถ่ายสีที่มีพื้นหลังสีขาว และเป็นรูปถ่ายไม่เกิน 6 เดือน จำนวน 2 รูป
4. ประกันภัยการเดินทาง (สามารถตรวจสอบรายละอียด และ บริษัทประกันภัยที่ได้รับการยอมรับ) 30,000 ยูโร( Travel insurance not Health insurance )
5. หนังสือรับรองการทำงาน 1 ฉบับ ให้ระบุ อาชีพ เงินเดือน และระยะเวลาในการทำงาน ( เป็นภาษาอังกฤษ หรือ ภาษาเยอรมัน ) หรือ กรณีประกอบธุรกิจส่วนตัว ให้ใช้ใบจดทะเบียนการค้าที่มีชื่อผู้สมัคร ( ส่วนกรณีที่ไม่ได้ประกอบอาชีพ ผู้สมัครจำเป็นต้องทำหนังสือชี้แจงถึงที่มาของรายได้ในชีวิตประจำวัน ) ถ้าเป็นนักเรียนต้องมีหนังสือรับรองการเป็นนักเรียน หรือ นักศึกษา
6. เอกสารทางการเงิน เช่น ( สมุดบัญชีธนาคาร ย้อนหลัง 6 เดือน พร้องอัพเดทล่าสุด หรือ Bank Certificate จากธนาคาร ในกรณีที่มีการ support หรือ ออกค่าใช้จ่ายให้ จำเป็นที่จะต้องทำหนังสือ Sponsor letter ( เป็น บิดา มารดา หรือ สามี ภรรยา ) พร้อมแนบเอกสารเชื่อมโยงความสัมพัน อาทิ เช่น ทะเบียนสมรส หรือ สูติบัตร พร้อม แปล ภาษาอังกฤษ หรือ ภาษาเยอรมัน หากในกรณีที่ผู้สมัครมีคนเชิญจากทางออสเตรียแล้วก็ตามถ้าผู้สมัครประกอบอาชีพก็มีความจะเป็นที่จะต้องแสดงรายได้ของตัวเองด้วยเช่นกัน
7. ใบจองตั๋วเครื่องบิน ( Ticket Reservation ) จะต้องเป็นหัวของสายการบินนั้นๆที่ผู้สมัครจองโดยทางสถานทูตจะไม่รับใบจองตั๋วผ่านทาง Travel Agency
8. ในการณี มีการเชิญจากเพื่อนที่เป็นชาว Austria ให้ผู้สมัคร แสดง Code เชิญจากสถานีตำรวจที่ ออสเตรีย พร้อมทั้งแสดง หน้า หนังสือเดินทางของคนเชิญ ประกอบด้วย ( ในกรณีไปพักกับเพื่อน ญาติ หรือ คุ่สมรส )
9. เอกสารเกี่ยวกับที่พัก (Hotel Booking ) จำเป็นต้องครอบคลุมตลอดระยะเวลาการเดินทาง ให้ต่อเนื่องกับตั๋วเครื่องบินของผู้สมัครและจะต้องเป็นภาษาอังกฤษหรือ ภาษาเยอรมันเท่านั้นรวมถึงต้องระบุที่อยู่ของที่พักให้ชัดเจน
10. ค่าธรรมเนียมวีซ่าต้องชำระในวันที่ยื่นคำร้องขอวีซ่า ( จะเปลี่ยนประจำทุกเดือนขึ้นอยู่กับค่าเงินในเดือนนั้นๆ
10.1 ตารางการเดินทางในกรณีที่ผู้สมัคร เดินทางมากกว่า 1 ประเทศ ให้ระบุว่าผู้สมัครจะมีเดินทางไปที่ไหนบ้าง หรือ ในกรณีพำนักแค่ในประเทศออสเตรียประเทศเดียวหลายวันให้ทำด้วยเช่นกันว่าผู้สมัครเดินทางไปเที่ยวที่ไหนบ้าง

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่  http://www.vfsglobal.com/austria/thailand/thai/all_about_visa.html

ซึ่งตอนนี้หลายสถานทูตของยุโรปในเมืองไทยได้เปลี่ยนมาเป็นการขอวีซ่าผ่านตัวแทน VFS โดยเราจะต้องไปทำเรื่องของที่ศูนย์รับคำร้องขอวีซ่าประเทศออสเตรีย ตึกสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 15 ยูนิต C สีลมคอมเพล็กซ์  ข้อดีคือเราไม่กดดันเพราะบรรยากาศผ่อนคลายกว่าไม่เหมือนเวลาไปสถานทูตที่เกร็งทุกครั้ง แต่ข้อเสียคือค่าธรรมเนียมโหดมากๆ รวมแล้วประมาณ 3500 บาท  และตอนที่ฮานะไปขอนั้นยังไม่มีการนัดหมายใครไปยื่นก็ได้ แต่ตอนนี้ต้องทำการนัดหมายผ่านเว็บไซต์ของ VFS ก่อนนะคะ แล้วปริ้นท์ใบนัดหมายไปด้วย  

ใช้เวลาดำเนินการประมาณหนึ่งอาทิตย์ทาง VFS  ก็โทรมาบอกว่าให้เราไปรับพาสปอร์ต ซึ่งทางเขาก็ไม่รู้ว่าผ่านหรือไม่ผ่านเพราะพาสปอร์ตส่งมาจากสถานทูตออสเตรียต้องไปลุ้นจนตัวโก่งที่หน้า VFS แต่ของน้องสาวฮานะมีปัญหาเล็กน้อยเลยต้องยื่นเอกสารเพิ่มเติม

ส่วนการแลกเงิน เราจะต้องแลกเงินเป็นยูโรจากเมืองไทยไปก่อนนะคะ แล้วค่อยไปแลกเป็นเงินสกุลของประเทศนั้นๆ ในแต่ละประเทศ โดยสาธารณรัฐเช็คใช้เงินสกุล Koruny เช็ก (CZK) ประเทศฮังการีใช้เงินสกุลโฟรินท์ฮังการี (HUF) ส่วนออสเตรียใช้เงินยูโรค่ะ 

และที่สำคัญการเดินทางครั้งนี้สิ่งที่ต้องเตรียมไปคือไวไฟค่ะ เพราะยุโรปนั้นไม่ค่อยมีไวไฟฟรีเท่าไร โดยฮานะได้เช่าเครื่องพ็อคเก็ตไวไฟของ Global Wifi จากเมืองไทยไปใช้ที่ยุโรป โดยสามารถทำการสั่งจองออนไลน์ผ่านทาง http://globalwifi-thai.com/ ได้ ค่าเช่าสำหรับสามประเทศตลอด 11 วันราคาประมาณห้าพันกว่าบาท แต่สามารถแชร์ให้น้องสาวได้ และสามารถเลือกสถานที่การรับ-ส่งคืนเครื่องได้ ทั้งที่บ้านหรือที่สนามบินก็ได้สะดวกมากๆ 

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก)

การมีพ็อคเก็ตไวไฟเอาไว้นั้นทำให้เราอุ่นใจและช่วยให้การเดินทางไปในสถานที่ที่เราไม่คุ้นเคยสะดวกมากๆ ไม่ว่าจะหาเส้นทางที่พัก หาข้อมูลที่เที่ยว และยังให้เราได้ติดต่อสื่อสารกับครอบครัวได้แบบเรียลไทม์เลยล่ะค่ะ

เแพลนการเดินทางของฮานะ

วันที่ 1 : เดินทางจากไทยไปต่อเครื่องที่สนามบินเฮลซิงกิประเทศฟินแลนด์และบินต่อไปยังสนามบินกรุงปรากประเทศสาธารณรัฐเช็ก - เช็คอินที่ Charles Bridge Economic Hostel
วันที่ 2 : เที่ยวกรุงปรากแล้วนั่งรถไนท์บ์บัสของ Oranges Ways ไปยังเมือง
บูดาเปสต์ประเทศฮังการี - นอนบนรถ
วันที่ 3 : เทียวเมือง
บูดาเปสต์ - เช็คอินที่ Pal's Hostel
วันที่ 4 : นั่งรถบัส Oranges Ways ไปยังเมืองเวียนนา ประเทศออสเตรีย เที่ยวเมืองเวียนนา - เช็คอินที่  Wombats City Hostel Vienna - at the Naschmarkt
วันที่ 5 : นั่งรถไฟไปยังเมือง Hallstatt  ประเทศออสเตรีย - เช็คอินที่ Hotel Haus Am See
วันที่ 6 : นั่งรถไฟไปยังเมือง Salzburg ประเทศออสเตรีย - เช็คอินที่ Yoho International Youth Hostel Salzburg
วันที่ 7 : เที่ยวใน Salzburg 
วันที่ 8 : นั่งรถตู้ CK Shuttle  ไปยังเมือง
เชสกีกรุมลอฟ ประเทศสาธารณรัฐเช็ก - เช็คอินที่  Hostel Krumlov House
วันที่ 9 : นั่งรถบัส Student Agency ไปยังกรุงปราก - เช็คอินที่ Hostel Downtown
วันที่ 10 : นั่งรถบัส Student Agency  ไปเที่ยวเมือง Karlovy Vary แบบวันเดย์
วันที่ 11 : กลับเมืองไทย

พร้อมแล้วก็เริ่มออกเดินทางกันเลย

05

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก)

ไฟลท์ของเราเริ่มต้นตอน 8.55 น. โดยจะต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่เฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ หนึ่งครั้งก่อนจะเข้าสู่กรุงปราก วันนี้ไม่ต้องบอกเลยค่ะว่าตื่นเต้นเพียงใด เราสองพี่น้องที่เคยไปไกลก็แค่ญีป่น แต่คราวนี้เป็นการเดินทางไกลที่สุดและยังข้ามทวีปเป็นครั้งแรกในชีวิตอีก แค่การได้ยืนมองเครื่องบินของฟินแอร์ทีมาจอดรออยู่น้ำตาก็จะไหลแล้ว (น้ำตาไหลเพราะส่วนหนึ่งแอบเสียใจที่ต้องจ่ายค่าเครื่องบินสามหมื่นกว่าบาท T_T)

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก)

ประมาณแปดโมงกว่าๆ ก็ได้ขึ้นไปบนเครื่อง เครื่องลำใหญ่ที่นั่งเป็นแบบ 2-4-2 บนเครื่องเต็มไปด้วยผู้โดยสารชาวต่างชาติผมทอง มีเอเชียผมสีดำไม่กี่คนบนเครื่อง

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก) รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก)

ลักษณะเครื่องค่อนข้างเก่านิดนึงค่ะ และที่นั่งแคบด้วยขยับขายากมากๆ ส่วนจอค่อนข้างเล็กและไม่มีหนังซับไทย T_T หนังไม่ค่อยใหม่ด้วยค่ะ

แต่แอร์ฯ ของฟินแอร์น่ารักบริการดีทั้งแอร์ฯ คนไทยและแอร์ฯ ชาวต่างชาติ ส่วนอาหารบนเครื่องใช้ได้เลยค่ะ คาดว่าน่าจะมาจากครัวของการบินไทย

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก)

เราใช้เวลาบินข้ามทวีปประมาณ 10 ชั่วโมง เครื่องบินก็พาเรามายังเมืองเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ เมืองที่ได้ชื่อว่ามีค่าครองชีพแพงสุดๆ จริงๆ ก็อยากมาดูแสงเหนือที่ประเทศนี้สักครั้งนะคะ แต่คงต้องเก็บตังค์อีกนานกว่าจะได้มา

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก)

การแตะยุโรปครั้งแรกตื่นเต้นมากๆ แต่ตื่นเต้นสุดๆ เมื่อเจอกับพี่ตม.ที่เจอคำถามเรื่องแพลนการเดินทาง ฮานะนี่ตอบผิดๆ ถูกๆ แต่โชคดีพี่ ตม.ของฮานะท่าทางใจดี เลยให้ผ่านได้โดยไม่ถามอะไรเยอะ แต่ของยายน้องสาวอุตส่าห์เลือกพี่ตม.ที่หล่อออร่าลุคนายแบบสุดๆ แต่โดนถามยาว ซักละเอียดถ้าเป็นผ้าคงจะขาวไปหมดแล้วค่ะ และสิ่งที่เราได้เรียนรู้สำหรับการผ่านด่านตม.ของยุโรปคือ แพลนการเดินทางกับใบจองที่พัก เราทั้งคู่ประมาทที่ว่ามีวีซ่าแล้วคงจะผ่านง่ายๆ ที่ไหนได้เขาถามเยอะเหมือนกันนะคะ เพื่อนๆ คนไหนที่จะไปก็อย่าลืมพกไปนะคะ ส่วนสิ่งที่แตกต่างจากการผ่านเข้าเมืองของฝั่งเอเชียอีกอย่างคือเขาจะไม่มีใบกรอกของตม. คือเพียงยื่นพาสปอร์ตให้ตม.เท่านั้นเขาก็จะพิจารณาว่าจะให้เราเข้าหรือไม่เข้า และผ่านตม.แค่ครั้งเดียวคือที่ฟินแลนด์นะคะ ซึ่งเป็นประเทศแรกในเครือเชงเก้น ส่วนของปรากก็ไม่ต้องผ่าน ตม.แล้วค่ะ 

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก)

เมื่อผ่านตม. มาแล้วก็เดินไปตามป้าย Transfer โดนเขาจะมีจอบอกเกทของเครื่องบินที่เราจะไปต่อ เกทที่เฮลซิงกิค่อนข้างเยอะและใหญ่พอสมควร ส่วนเกทที่ฮานะจะต้องไปต่อเครื่องจะอยู่ที่เกท 30

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก)

เดินเข้ามารอหน้าเกทอย่างมั่นใจพร้อมกับนักท่องเที่ยวชาวจีนกลุ่มหนึ่ง โดยเวลาที่จะต้องขึ้นเครื่องคือเวลา 17.35 น. ระหว่างนั้นเราสองคนก็เล่นเน็ต ถ่ายรูป เช็คข่าวเมืองไทย คุยกับครอบครัวจนเพลิน มองนาฬิกาอีกทีห้าโมงเย็นแล้ว แปลกใจทำไมไม่มีเจ้าหน้าที่เรียกขึ้นเครื่องสักที ชาวจีนที่มายังคงรอเหมือนกับเรา แต่พอมองตัววิ่งด้านบนที่ย้ำว่าเล็กมากๆ บอกว่ามีการเปลี่ยนเกท เท่านั้นเราสองคนก็ใส่ตีนหมาเลยค่ะ

40

เฮ้ย คือเปลี่ยนเกทแต่ไม่มีเจ้าหน้าที่มาบอก แล้วพนักงานเมื่อกี้ที่รออยู่หน้าเกทก็หายไปด้วย เราสองคนวิ่งกันมาด้วยความกลัว ปนความรู้สึกผิดที่ไม่ได้บอกชาวจีนกลุ่มนั้น แต่ภาวนาว่าให้พวกเขาเห็นตัววิ่งเล็กๆ ด้านบน 

วิ่งกันมาอย่างเหนื่อยก็เห็นผู้โดยสารมายืนรอกันเต็มเลยค่ะ ทั้งโมโหเจ้าหน้าที่ ทั้งความรู้สึกโล่งอก และความเหนื่อย มันปนเปกันไปหมด นั่งหอบกันตรงที่นั่งกันอยู่สองคน นึกภาพไม่ออกเลยว่าถ้าเราสองคนมาไม่ทันและตกเครื่องจะทำอย่างไรกันดี และไม่นานชาวจีนกลุ่มนั้นก็มาถึงเหมือนกับเรา

และเหตุการณ์ครั้งนี้ก็สอนให้รู้ว่าอย่าชะล่าใจ อย่าเล่นมือถือเพลินให้มีสตีอยู่ตลอดเวลา 

sleep

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก)

เราบินต่อไปอีกประมาณชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงสนามบินกรุงปรากแล้วค่ะ

huhuhu

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก)

เดินตามป้าย Baggage Reclaim ออกมา

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก)

ตู้เอทีเอ็มสามารถกดเงินที่นี่โดยได้เงินเป็น Koruny เช็ก (CZK) ได้เลย

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก)

เดินตามป้าย  Baggage Reclaim ไปเรื่อยๆ

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก)

รอรับกระเป๋า

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก)

ด้านตรงข้ามที่รับกระเป๋าเป็นที่แลกเงินนำเงินยูโรมาแลกที่นี่ได้นะคะ

จากนั้นก็เดินไปซื้อตั๋ว โดยข้อดีของการขนส่งในยุโรปนั้นคือตั๋วของเขาจะใช้ได้หมดทั้งรถไฟ รถบัส รถราง ซื้อครั้งเดียวสะดวกสุดๆ โดยภายในสนามบินจะมีเคาน์เตอร์ขายตั๋ว เราสามารถไปซื้อจากเคาน์เตอร์หรือที่ตู้ขายอัตโนมัติก็ได้

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก)

ตั๋วโดยสารของกรุงปรากมีดังนี้ค่ะ

- Single 30 minutes Ticket ราคา 24 CZK สามารถนั่งขนส่งสาธารณะทุกชนิดภายในระยะเวลา 30 นาทีหลังจากที่มีการตอกตั๋ว (Validate)

- Single 90 minutes Ticket ราคา 32 CZK สามารถนั่งขนส่งสาธารณะทุกชนิดภายในระยะเวลา 90 นาทีหลังจากที่มีการตอกตั๋ว (Validate)

- 24 Hrs. Ticket ราคา 110 CZK ใช้ได้ 24 ชั่วโมงคือนับจากเวลาที่เราตอกตั๋วเช่นถ้าเราตอกตอน 8 โมงเช้าของวันนี้ก็จะสามารถใช้ได้ก่อน 8 โมงเช้าของวันพรุ่งนี้

- 72 Hrs. Ticket ราคา 310 CZK ใช้ได้ 72 ชั่วโมง

ค่าเงิน 1 Czech koruna = 1.35 บาท (อัพเดตวันที่ 1/6/58) เวลาฮานะคิดจะคิดเป็นเงินไทยไปเลยค่ะ คิดง่ายดี 

โดยตั๋วที่ฮานะเลือกคือ Single 90 minutes Ticket ราคา 32 CZK  หรือประมาณ 43 บาทโอ๊ยถูกมากๆ 

หลังจากซื้อตั๋วแล้วต้องนำตั๋วไปที่เครื่องตอกตั๋วบนรถบัส รถราง หรือทางเข้ารถไฟใต้ดิน โดยวิธีการนำด้านสามเหลี่ยมข้างล่างใส่เข้าไปในเครื่องตอก ซึ่งจะต้องตอกแค่เพียงครั้งแรกครั้งเดียวเที่ยวนั้น แล้วเราก็สามารถใช้ตั๋วนี้ได้ตามเวลาที่ระบุโดยไม่ต้องตอกอีก หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำแบบนี้ไม่มีคนโกงเหรอ ตอนแรกฮานะก็สงสัยแบบนั้นค่ะ แต่เพราะเขาใช้ความเชื่อใจและไว้วางใจซึ่งถ้าใครมาแอ๊บขึ้นโดยไม่ซื้อตั๋ว อาจจะเจอนายตรวจที่เขาจะสุ่มตรวจ และคุณจะต้องเสียค่าปรับมหาโหดสุดๆ

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก) รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก)

ภาพจาก http://www.prague.fm/

แผนผังระบบขนส่งสาธารณะของกรุงปราก

คลิกที่ภาพเพื่อดูแผนที่ขนาดใหญ่

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก)

จากนั้นเดินออกมาด้านนอกและข้ามถนนมาจะเจอที่รอรถบัส

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก)

รถบัสที่เราจะนั่งเข้าเมืองคือสาย 119 ค่ะ โดยเราจะต้องนั่งรถบัสเพื่อไปขึ้นรถไฟใต้ดินสายสีเขียวที่สถานี Dejvicka

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก)

รถบัสมาจอดส่งเราที่สถานี  Dejvicka

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก)

รถไฟมาแล้วค่ะ

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก)

มาลงที่สถานี Malostranska 

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก)

จากนั้นเดินออกจากสถานีรถไฟมายังถนนฝั่งตรงข้ามแล้วมารถรางสาย 12,20 หรือ 22 ที่ป้าย Malostranska  เพื่อไปลงป้าย Malostranska Nemesti

พอลงรถปุ๊บเดินมาทางสะพานพระเจ้าชาร์ลส์ หาไม่ยากค่ะ ก็จะเจอที่พัก Charles Bridge Economic Hostel อยู่ติดกับสะพานเลยค่ะ

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก) 

ถึงแล้วค่ะตึกเก่าสีฟ้านี่แล่ะ

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก)

เดินเข้าไปข้างในเลยค่ะ ซึ่งภายในยังเป็นศูนย์ให้ข้อมูลนักท่องเที่ยวอีกด้วย

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก)

เจ้าไวไฟดาราประจำโฮสเทล

ซึ่งห้องที่เราจองมาคือ Triple Bed Room ราคา 900 CZK/คน/คืน หรือประมาณ 1200 บาทเท่านั้น พอมาถึงคนดูแลโฮสเทลชื่อลิปเป็นหนุ่มเช็กหน้าละมุน (ที่จะมีเรื่องเล่าสุดประทับใจในตอนต่อไป) ก็พาเราไปชมห้องพักพร้อมแนะนำสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ (เรื่องเศร้าในทริปนี้คือลืมถ่ายรูปหนุ่มลิปมาให้ชมT_T)

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก)

เข้าไปห้องพักก็กรี๊ดเลยค่ะ ห้องพักน่านอนมาก มีเตียง 3 เตียง เตียงด้านบนไม่มีใครนอนตอนแรกเรานึกว่าจะเจอเพื่อนร่วมห้องอีกคน แต่สุดท้ายก็มีเพียงเราสองคน

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก)

ห้องนั่งเล่นส่วนกลางมีคอมพิวเตอร์ ทีวี โซฟาให้นั่งชิล

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก)

ครัวตรงกลางติดกับห้องนั่งเล่น ที่มีไมโครเวฟ เครื่องปิ้งขนมปัง น้ำร้อน จาน ชาม ใครนำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาก็มาต้มกินที่นี่ได้

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก) รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก)

ห้องน้ำและห้องอาบน้ำส่วนกลางมีน้ำอุ่น มีสบู่ แชมพูให้ ห้องน้ำสะอาดมากๆ ค่ะ ซึ่งภายในห้องของเราจะไม่มีห้องน้ำส่วนตัว  

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก)

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก)

บรรยากาศภายในโฮสเทล

หลังจากเก็บของไว้ในห้องเสร็จ เราก็ออกไปหาอะไรทานซึ่งเป็นอาหารมื้อแรกที่ได้กินในแผ่นดินยุโรป ฟังดูยิ่งใหญ่มากๆ แต่ที่จริงแล้วเราทานไก่ทอดแม็คโดนัลส์ และเพราะไก่นี่แหละที่ทำให้เราสองสาวไทยอยู่รอดได้ในแผ่นดินยุโรป (ฝากเอาไว้เดี๋ยวมาเล่าให้ฟังกันนะคะ)

ทานอาหารเย็นเสร็จก็ออกมาเดินเล่นถ่ายรูปบริเวณสะพานพระเจ้าชาร์ลส์เล็กน้อย เพราะคืนนี้หนาวมากๆ วันที่เรามาถึงอากาศประมาณ 2 องศา

38

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก)

วิวด้านหน้าโฮสเทลมองเห็นโบสถ์เซ็นต์นิโคลัส

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก)

ร้านรวงต่างๆ ที่แทรกตัวอยู่ภายในตึกเก่า

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก)

หอคอยสะพานพระเจ้าชาร์ลส์ฝั่งมาลาสตรานา

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก)

กรุงปรากในยามค่ำคืน

รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1 ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก)

สะพานพระเจ้าชาร์ลส์ในยามค่ำคืนที่โรแมนติกสุดๆ

ตอนต่อไปฮานะจะพาไปเที่ยวภายในกรุงปราก

และการเดินทางสู่เมืองบูดาเปสต์ ประเทศฮังการีรอติดตามกันได้เลยจ้า

ค่าใช้จ่าย
ค่าเครื่องบิน = 32600 บาท
ค่าวีซ่า = 3500 บาท
ค่าที่พักที่ = Charles Bridge Economic Hostel 1200
ค่ารถเข้าเมือง = 43 บาท
ค่าเช่าไวไฟหารสอง = 2500 บาท

 

รวม 39,843 บาท

ตามไปอ่านตอนสองที่นี่เลย>>รีวิวเที่ยวยุโรปฉบับมนุษย์เงินเดือน ตอนที่ 2 เดินเที่ยวปราก

เรื่องและภาพ นางสาวฮานะ



เขียนโดย
Admin Chillpainai
Admin Chillpainai
close