กว่าจะถึง...ยอดดอยหลวงเชียงดาว
วันเเรก....
ออกเดินทางตอนกลางคืน ของคืนวันศุกร์ ถึงตอนเช้ามืดวันเสาร์ที่ตัวเมืองเชียงดาว อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เราตั้งต้นที่ โรงเเรมเชียงดาว จัดการเรื่องตั๋วค่ารถทัวร์ขากลับเรียบร้อยก็ออกไปหาซื้อเสบียงที่ตลาดสดเเถวๆนั้น เเละเมนูที่ขาดไม่ได้คือขาหมู...ยอดฮิต

กินข้าวเช้าเรียบร้อยกันเเล้ว เราก็นัดเจอพี่ๆเจ้าหน้าที่ ขับรถกระบะสองคันมารับพวกเรา ออกเดินทางสู่....ดอยเชียงดาวววว
เริ่มต้นเดินที่เส้นทาง "ปางวัว" ซึ่งเป็นหนึ่งในสองเส้นทาง ขาเข้า ดอยเชียงดาว เส้นทางนี้ เดินใกล้กว่าเเต่ชันมากๆๆกว่า เส้นทาง"เด่นหญ้าขัด" อีกเส้นทางนึง ...เราออกเดินทางราวๆเที่ยงวัน พกข้าวห่อคนละหนึ่งถุง เป็นมื้อกลางวัน เเล้วก็เดินๆๆๆ ทางเดินเเรกๆก่อนถึงประตูผีเข้าเชียงดาว จะเป็นทางชันๆดินเหนียวลื่นๆ เเต่ก็พอไหวอยู่ พักกินข้าวสักแปบนึงเเล้วก็ออกเดินต่อ ค่อยๆเข้าป่า ออกป่า เข้าป่า ออกป่า ผ่านดงกล้วย ขึ้นๆลงเขาตลอดทาง



หน้าผาข้างหน้าคือประตูผี ภูเขาสูงตระหง่านสองฝั่ง เปรียบเหมือนประตูเข้าสู่ดอยเชียงดาวค่ะ

ตรงนี้เป็นจุดเเวะพักที่เเรก สำหรับคนที่เดินช้าๆ เค้าจะเเวะพักตรงนี้ก่อนคืนแรก เเต่แรงเรายังไหวอยู่เลยเดินต่อไปพักตรงจุดพักแรมดงน้อย ข้อดีคือ ช่วยย่นระยะทางในการขึ้นจุดพักเเรมอ่างสลุงในคืนวันที่สองได้เยอะเลยทีเดียว
ฉันกำลังเเรงดี กำลังใจดี วันนี้เหนื่อยมากที่สุดนะ เเต่ไม่มาก เพราะฟิตร่างกายมาพร้อม โชคดีหน่อยนึงที่ตรงจ้างลูกหาบส่วนตัว เลยลดภาระไปเยอะ เเต่เเค่กล้องตัวเองก็หนักอยู่เอาการ ก้าวขึ้นหนึ่งที มองอะไรรอบๆตัวเรา ต้นไม้ใบหญ้า หยิบกล้องขึ้นมากดไปสองสามเเชะ พอเดินเข้าเขตหุบเขาเกือกม้าของ
ดอยเชียงดาวเเล้วก็จะมองเห็นค้อเชียงดาวไกลๆ อยู่บนหน้าผาสูงชันของภูเขารอบๆตัวเรา


ห้าโมงเย็น มาหยุดที่จุดพักเเรมดงน้อย พี่ลูกหาบมาถึงก่อนเเล้ว จัดการกางเต๊นท์ให้เรา เเละหุงข้าวให้
เราทำกับข้าวบนนี้เเบบประหยัดสุดๆ เพราะบนนี้ไม่มีเเหล่งน้ำ ไม่ต้องอาบน้ำ เราซักเเห้งกันล้วนๆ เเถมต้องทำกับข้าวน้อยอย่าง ใช้น้ำไม่เยอะ จะได้ไม่ต้องล้างเยอะด้วย มื้อนี้เลยมีผัดผักคะน้าหมูกรอบเเละขาหมู กินกันโดยใช้ใบตองรองจานก่อนจะได้ไม่เลอะเทอะ นับว่าเป็นไอเดียที่ดีค่ะ...

อากาศหนาวๆเย็นๆ ฟ้ามืดสนิท ไม่มีไฟสักดวง นอกจากไฟฉาย เรากินถั่วเเดงต้ม เเล้วก็ไปนอนซุกตัวในถุงนอน เบียดกัน ร้องเพลง ใต้หมู่ดวงดาว..... เพลงเกี่ยวกะดวงดาว หลายสิบเพลง เราผลัดกันร้อง...
เพลงเเรกที่ฉันคิดถึง คือ เธอหมุนรอบฉัน ฉันหมุนรอบเธอ มันช่างเหมาะสมอะไรเช่นนี้กับค่ำคืนนั้น เสียงเพราะไม่เพราะ ไม่มีใครสนใจ เพราะว่า เรามีหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน...คล้ายๆจังหวะของคนเดินทาง...
วันที่สอง..
วันนี้เดินไม่เยอะ เพราะทางไม่ไกล ถ้ารีบๆเดิน คงจะถึงตีนดอยหลวงในราวๆ สองชั่วโมง เเต่นี่ เราเสียเวลาไปเเยะกับการถ่ายรูป ชิล รอเพื่อน ออกเดินทางเก้าโมงเช้า ขึ้นไปถึงที่ตีนดอยหลวงที่จุดกางเต๊นท์ตอนบ่ายโมงครึ่ง


ระหว่างทางสวยมาก เพราะตอนเช้าๆจะเริ่มมีหมอกลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือยอดเขา สองข้างทางของเราคือภูเขาที่โอบล้อมเราไว้ มันเหมือนกับว่า เราเดินสูงขึ้นเรื่อยๆ เเละเหมือนกับเราเดินเข้าไปในสายหมอกเรื่อยๆด้วย เเถมด้วยดอกหญ้าสองข้างทาง เป็นเหมือนโฟวร์กราวที่ดีของภาพถ่ายฉัน ฉันชอบมากๆเลยล่ะ บรรยากาศตรงนั้น ให้เดินเท่าไหร่ก็ไม่มีวันเหนื่อย ให้เดินเท่าไหร่ก็ยังมีเเรงถ่ายรูปตลอด


ฟ้าปิดตลอดช่วงเช้านั้น เราเลยได้อากาศเย็นๆเป็นของเเถม มีช่วงนึงที่ต้องเข้าไปในป่าดิบเขา รู้สึก
เเปลกดีเพราะมีสิ่งมีชีวิตเล็กๆรอบๆตัวเรามากมาย ซึ่งเราไม่ควรจะเดินเลยผ่านไป อากาศในป่านั้นคล้ายๆกับป่าดึกดำบรรพ์ที่ไม่เห็นเเสงเเดดเป็นเวลานาน ต้นไม้หลายต้นมีมอส ไลเคนขึ้นปกคลุม คล้ายๆใส่เสื้อกันหนาว อากาศเย็นมาก เเต่หัวใจฉันชุ่มชื้นเป็นที่สุด


พอออกมาได้ ก็มาเจอกับพื้นที่โล่ง เราก็เลยเเวะกินข้าวเที่ยวที่พกมาคนละห่อ กุนเชียง กับหมูหยอง กับข้าวสวย เเค่นั้นก็เพียงพอเเล้ว ตอนที่นั่งอยู่ตรงนั้น เพื่อนฉันคนนึง พูดบางประโยคที่จำได้ขึ้นใจ "คนเราจะต้องการอะไรมากเนอะ เเค่ข้าวสวย กุนเชียง เเค่เนี้ย ก็อิ่มอร่อย อยู่ได้เเล้ว" เป็นความจริงที่ฉันเห็นด้วย เพราะการเดินป่ามันทำให้เรารู้จักพอเพียง พอดี เเละพบกับชีวิตของเราจริงๆ เอาล่ะ...อิ่มเเล้วก็เดินทางกันต่อ...

สุดท้าย ณ จุดที่มองเห็นยอดดอยหลวงข้างหน้า ท้องฟ้าก็เปิด ทุกคนยิ้มออก รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ไม่นานเราก็มาถึงจุดพักแรมตีนดอยหลวง ชื่อ"อ่างสลุง" พักผ่อน ถ่ายรูป เตรียมมื้อเย็น จัดการหั่นเตรียมไว้ เเล้วเราก็เตรียมตัวออกเดินทาง เดินขึ้นไปพิชิตยอดดอยหลวงกัน

จากตีนดอย ไปถึงข้างบนยอด ไม่ไกล ใช้เวลาประมาณชั่วโมงนึง เเต่ปีนๆๆๆเเละปีนอย่างเดียวกับหินคมๆ คล้ายขึ้นไปสันคมมีดที่เขาช้างเผือก ยังไงยังงั้นเเหละ


พอขึ้นไปถึง ดีใจเป็นที่สุด ความเหนื่อยเเละหยาดเหงื่อหายเป็นปลิดทิ้ง
จากนั้นก็..ถ่ายรูปกันกระหน่ำเลย ฮ่าๆ บนนั้นมองเห็นวิวพาโนราม่า 360 องศา มองเห็นยอดดอยสามพี่น้องไกลๆ ตรงกลาง เห็นยอดกิ่วลมจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น ที่ยอดเขาด้านซ้ายมือ เเละยอดปิรามิดที่ด้านขวา สูงๆเเหลมๆ อยู่เป็นเเบคกราวไกลๆ




เราอยู่ถ่ายรูปกัน กินชอคโกเเลตเพิ่มพลังงานไป กินลูกเสารสไป รอเวลาพระอาทิตย์ตกดิน
ชอตที่ประทับใจที่สุด คือช่วงที่พระอาทิตย์กำลังจะตกลับเขาตรงยอดดอยสามพี่น้อง...


เหมือนเวลามันหมุนไวมาก เมื่อสายลมหนาวเริ่มพัดสายหมอกขึ้นสู่ยอดเขาเบื้องบน หมอกเริ่มก่อตัวหนาเเน่นขึ้นเรื่อยๆปกคลุมยอดเขาด้านหน้าทั้งหมด พัดฟุ้งกระจายตัวไปมา ในขณะเดียวกัน เเสงสีส้มของพระอาทิตย์ก็กำลังเคลื่อนต่ำลง เกิดประกฏการณ์กระจายเเสงเล็ดลอดผ่านม่านหมอกนั้นมายังพวกเรา
ไม่นานนัก เราก็ได้เห็นพระอาทิตย์ตกเป็นไข่เเดงที่สวยมากๆ ฉันกดชัตเตอร์รัวกระหน่ำจนเกือบลืมมองสิ่งเหล่านี้ผ่านตาเปล่าๆของฉันเอง.... มันเป็นภาพที่น่าจดจำ เเละสวยที่สุดของดอยหลวงเชียงดาวนี้ เเละสิ่งนี้ฉันจะไม่มีวันลืม....



ฉันว่า จากเหตุการณ์ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมานี้ มันทำให้ฉันตกหลุมรักที่นี่ซะเเล้วสิ...
วันที่สาม...
ตื่นเช้ามาก ตีห้า พร้อมใจกันออกไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่กิ่วลม พอเริ่มเดินไปก็หลง หาทางเเยกไปกิ่วลมไม่เจอเพราะมืดมาก พอเจอทางปุ๊บ ทางเดินขึ้นกิ่วลมก็เริ่มโหด ชัน เเละปีนขึ้นอย่างเดียว เเย่ยิ่งกว่าขึ้นยอดดอยหลวงซะอีก ทางก็เป็นหินเเหลมๆ ดีนะที่ใส่ถุงมือมา เเต่พอเริ่มมองเห็นเเสง ก็ก้มลงไปดูเสื้อกันหนาวสีขาวเเละมือตัวเอง มอมเเมมมาก เต็มไปด้วยดินเเดง เละเทะไปหมดเลย - - #!
เเย่กว่านั้น อากาศปิด หมอกลงจัด ไม่เห็นอะไรเลยนอกจากสีขาว เราถ่ายรูปกันเอง มีเเต่คนๆๆ เลยดูเหมือนถ่ายรูปในสตูดิโอซะงั้น 555 สรุปว่า เช้าวันนี้เเห้ว อดเจอพระอาทิตย์ขึ้นเลย


ฉันว่า มันเย็นใจสดชื่นขึ้นก็เพราะเราเอาใบหน้าไปอยู่ใกล้ๆ ไอเย็นๆของใบไม้ชื้นๆเหล่านี้
มันเลยรู้สึกดีเเหละ

ข้าวเช้าวันสุดท้ายเป็นมื้อทุบหม้อข้าว.... เราเเพคใส่ถุงของใครของมัน รวมกับมื้อเที่ยง ไว้กินระหว่างทางเลย จัดการเก็บเต๊นท์เเล้วก็ออกเดินทางกลับ อำลาดอยหลวงเชียงดาวไว้เบื้องหลัง ซึ่งเมื่อหันหลังมองกลับไป ฟ้าก็เปิดสีฟ้าสวยเเจ่มใสมาก ทำให้ย้อนคิดไปถึงเมื่อ24 ชั่วโมงที่ผ่านมานี้ ช่วงเวลาที่มีเเต่ความตื่นเต้น เพราะเรากำลังจะได้เข้าไปสัมผัสยอดดอยหลวงไกลๆ ที่เราเห็นอยู่เบื้องหน้านั้น เเต่ในเวลานี้เราต้องโบกมืออำลา

เชียงดาวเเต่เพียงเท่านี้
การมาเยือนดอยหลวงเชียงดาวครั้งนี้ ได้อะไรมากกว่าที่ใจคิดนัก นอกจากความท้าทายในการบุกป่าฝ่าดงมุ่งขึ้นสู่ยอดดอยสูงซึ่งเเลกมาด้วยหงาดเหงื่อเเละความปวดเมื่อยเเล้ว มันยังมีอะไรๆอีกหลายๆอย่างเเฝงอยู่ในนั้น คนเราไม่ได้ต้องการที่จะขึ้นไปมองวิวบนภูเขาสูงเพียงอย่างเดียวหรอก สิ่งสำคัญมันอยู่ที่ความสวยงามระหว่างทางต่างหาก ระหว่างทางที่ว่า ไม่ใช่เเค่การทำความรู้จักกับสิ่งมีชีวิตหลายๆอย่างที่อยู่รายรอบตัวเรา สิ่งที่มันสำคัญเเละขาดไม่ได้เลย คือมิตรภาพ รอยยิ้ม เเละมิตรไมตรีที่ดีของผู้ที่ร่วมทางไปด้วยกัน เพราะเราเดินไปด้วยกัน...ด้วยหัวใจที่ยิ่งใหญ่กว่าขุนเขาที่ไปพิชิตนั้นเสียอีก
เรื่องโดย : This road is mine
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

เรื่องโดย
ADMIN
Chillpainai