3 วัน 2 คืน ซัวสะเดย กัมพูชา ! ประเทศเพื่อนบ้านหน้าตาธรรมดา แต่ถ้าได้มาจะตกหลุมรัก

calendar_month 29 ส.ค. 2017 / stylus Admin Chillpainai / visibility 20,594 / ทริปตัวอย่าง

มีคนถามว่าบินบ่อยขนาดนี้ เป็นแอร์เหรอแกรร ? อ๋อออ เปล่าหรอกจ้า เป็นนก ! #หลอก 55555 จริงๆก็ไม่ใช่ทั้งสอง เป็นแค่คนมีอาการเบื่อบ้านจนต้องหาเรื่องออกไปบินให้เพื่อนอิจฉาเป็นว่าเล่นเท่านั้นเอง ถึงคราวนี้งบจะไม่เป็นใจพอไปได้แค่ใกล้ๆอย่างประเทศในแถบเพื่อนบ้าน แต่เราก็ไม่ลังเลยสักนิดที่จะตั้งหลักปักหมุดไปเยือนประเทศที่จำได้ว่าสมัยเรียนเคยสนใจประวัติศาสตร์ และเรื่องราวเกี่ยวกับโบราณสถานของประเทศนี้ถึงขั้นหลงใหล ยิ่งถ้าได้ไปมั่นใจว่าจะต้องหลงรัก รู้ตัวอีกทีมือมันก็แพ็คกระเป๋า เตรียมกล้องคู่ใจพร้อมออกเดินทางไปซัวสะเดย กัมพูชาอย่างว่องไวแล้วอะยู๊ววว...

ตั้งต้นทริปวันแรกด้วยการนัดเจอกับเพื่อนร่วมทีมประมาณ 8 โมงที่สนามบินสุวรรณภูมิ จัดแจงเช็คอิน โหลดกระเป๋าจนเสร็จเรียบร้อย แล้วค่อยไปนั่งหาอะไรกินเล่นเป็นการฆ่าเวลาที่เล้าจน์รอขึ้นเครื่องแบบชิลๆ

มากัมพูชาครั้งแรกก็ตื่นเต้นแล้ว เพราะเราได้นั่งเครื่องบินลำเล็กเป็นแบบใบพัดของบางกอกแอร์เวย์ สารภาพตามตรงว่าไม่เคยเห็นมาก่อน ดูไปดูมาก็น่ารักดีและคิดว่าคงไม่ค่อยมีใครได้นั่งแน่ๆเลยแอบแชะภาพมาฝากทุกคนสักหน่อย ใช้เวลาบินกันอยู่ประมาณเกือบชั่วโมง กัปตันก็พาเราเข้าสู่น่านฟ้าของกัมพูชาโดยสวัสดิภาพ ระหว่างนั้นแอร์ก็จะเริ่มแจกจ่ายแบบฟอร์มสำหรับกรอกข้อมูลการเข้าประเทศในช่วงทานอาหารไปด้วยพลางๆ

ด้วยความที่ในอดีตเมื่อหลายร้อยปีกัมพูชาเคยเป็นเมืองขึ้นของประเทศฝรั่งเศสมาก่อน อาหารกลางวันมื้อแรกของเราเลยไม่พลาดที่จะฝากท้องลองชิมร้านอาหารฝรั่งเศสชื่อดังอย่างร้าน Olive เป็นการประเดิมทริป เห็นตกแต่งหน้าตาสวยงามแบบนี้ รสชาติก็ยอดเยี่ยมไม่น้อยหน้า ตั้งแต่ออเดิร์ฟ เมนคอร์ส ไปจนถึงของว่างปิดท้าย ฟินพุงกางกันไปทุกเมนู

ในเมื่อเติมพลังจนแบตเต็ม เราต้องไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ ! ไปสัมผัสวิถีชีวิตของชาวกัมพูชาให้ใกล้ชิดมากขึ้นอีกนิดที่โตนเลสาบกันเล้ยยย

แวะซื้อตั๋วก่อนลงเรือสักนิด สำหรับค่าเข้าชมทะเลจะอยู่ที่คนละ 3$ นักท่องเที่ยวสามารถเลือกเรือที่จะล่องได้ด้วย ซึ่งเรือลำเล็กจะอยู่ที่คนละ 11$ ลำใหญ่คนละ 20$ โดยค่าลงเรือโดยตั๋วลงเรือและค่าเข้าชมโตนเลสาบของที่นี่จะแยกกันต่างหาก

โตนเลสาบ ได้ชื่อว่าเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กินพื้นที่ของประเทศกัมพูชามากถึง 5 จังหวัด บริเวณโดยรอบก็จะเป็นชุมชนลอยน้ำให้อารมณ์คล้ายๆบ้านเรา แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าเสาบ้านของที่นี่จะสูงมว๊ากกก สาเหตุที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าในหน้าน้ำหลากกับหน้าแล้งนั้น ปริมาณน้ำในโตนเลสาบจะแตกต่างกันมากนั่นเอง

แล่นไปได้สักพัก พี่ไกด์ก็ชวนเราปีนขึ้นมานั่งเล่นบนดาดฟ้าเรือ ความชิลและบรรยากาศนี่ใช้ได้เลย ระหว่างล่องไปเรื่อยจนถึงปากอ่าวจะมีลมเย็นๆเคล้ากลิ่นไอฝนพัดอยู่ตลอดเวลา ยิ่งกินอิ่มๆมาตาแทบปิดแน่ะ บางช่วงก็จะมีชาวบ้านโบกมือทักทายเราด้วยความป็นมิตร ตะโกนคุยกันสนุกสนานตลอดทาง

ช่วงที่กลับขึ้นฝั่งเตรียมตัวเข้าโรงแรม เราบังเอิญเจอน้องวัวฝูงใหญ่กำลังเดินกลับบ้านด้วยล่ะ เอาซะนึกว่ามาเที่ยวอินเดียเลยจ้า รถนี่ติดยาวเป็นขบวน ถือเป็นเรื่องพีคๆระหว่างทริปดี 555555

แวะเข้ามาเช็คอิน เก็บของ รวมถึงทานมื้อเย็นที่โรงแรม Lub d Siem Reap ซึ่งจะเป็นที่พักสำหรับทริป 3 วัน 2 คืนนี้ของเราในกัมพูชาแบบยาวๆกันก่อน

Lub d Siem Reap เป็นโรงแรมเปิดใหม่หมาดๆป้ายแดงเมื่อวันที่ 7 สิงหาที่ผ่านมา ทั้งยังตั้งอยู่ใจกลางแหล่งท่องเที่ยวสุดครึกครื้นอย่างผับสตรีท และไนท์มาเก็ต รวมถึงเป็นจุดตั้งต้นในการเดินทางไปท่องเที่ยวยังจุดอื่นได้อย่างสะดวกสบายเลยค่ะ

แต่ที่ถูกใจเราสุดๆต้องยกให้เรื่องสไตล์การตกแต่งที่น่ารักหนักมากกกก สีสันสดใสเหมือนลูกกวาด ซึ่งไอเดียของที่นี่ได้แรงบันดาลใจมาจากบ้านเรือนริมน้ำในโตนเลสาบ ทะเลสาบที่เราไปล่องเรือชมบรรยากาศกันมาเมื่อตอนบ่ายนั่นเอง ทั้งความสูงของเสา และสีสันของตัวบ้าน แถมยังพ่วงมาด้วยมุมถ่ายรูปเยอะแยะไปหมด มีสระว่ายน้ำขนาดกว้างขวาง พูลบาร์สำหรับสายดริ้งค์ Co-Working Space และเกมเซนเตอร์ โอยย คือดียยย แค่อยู่ในนี้ก็แทบจะไม่อยากออกไปไหนแล้ว ><

แต่ถ้าไม่ออกก็คงจะมากัมพูชาเสียเที่ยวเกินไป เพราะมีคนเคยบอกไว้ว่าการออกตระเวนราตรีเที่ยวกัมพูชาในยามค่ำคืนก็เป็นอะไรที่ไม่น่าพลาดอย่างแรงเหมือนกัน โดยเฉพาะย่าน Pub Street และไนท์มาเก็ตที่เดินชิลๆจากโรงแรมแค่ประมาณ 5 นาทียังไม่ทันเหนื่อยดีก็ถึงแล้ว

Pub Street เป็นย่านถนนคนเดินชื่อดังของเสียมเรียบเลยค่ะ ซึ่งสองข้างทางก็จะมีร้านนั่งชิล ร้านขายของกิน ร้านขายของที่ระลึกให้เราเลือกละลายทรัพย์กันตามใจชอบ ให้อารมณ์คล้ายๆถนนข้าวสารบ้านเรา รวมถึงมีผับให้ได้เข้าไปตื้ดสมชื่อด้วย แต่วันนี้เราขอเซย์กู้ดบาย อยากเดินสำรวจบ้านเมืองเค้าเล่นมากกว่า

แน่นอนว่าต้องมีของกินหน้าตาแปลกๆวางขายให้ได้เห็นอย่างละลานตา แต่ที่ทำเราช็อคมากสุดก็คงเป็นเจ้างูย่างกับแมงป่องนี่แหละ บรึ๋ยส์ หลอนสุดๆ จ้างร้อยนึงเป็นค่าชิมยังต้องขอคิดแล้วคิดอีกเลยเนี่ย

หลังจากเดินวนไปวนมาให้เสียหายเล่นๆไปหลายแสน ก็ได้เวลากลับมาทิ้งตัวนอนฝันดีให้สมชื่อโรงแรมในวันแรกเพื่อเตรียมตัวผจญภัยในวันพรุ่งนี้กันต่อ...

เห็นห้องพักของเราน่ารักขนาดนี้ แต่ราคาไม่แรงอย่างที่คิดเลยค่ะ แบบไพรเวทอย่างที่เรานอน เริ่มต้นที่ 38$ ประมาณ 1,200 บาท นอกจากนี้ก็ยังมีแบบ Dorm เริ่มต้นที่ 9$ ประมาณ 300 บาท สำหรับใครที่ชอบลุยเดี่ยว หรือเป็นพวกเพื่อนเยอะให้เลือกพักกันอีกด้วย

เช้านี้รีบแว้บไปทำ One Day Pass สำหรับใช้เป็นใบเบิกทางในการเข้าชมนครวัด นครธม และปราสาทตาพรหมในราคา 37$ ก่อนเป็นอันดับแรก ถึงจะเห็นนักท่องเที่ยวมากหน้าหลายตาจากนานาชาติก็ไม่ต้องตกใจไป เพราะทุกคนต้องมาถ่ายรูปทำบัตรที่นี่หมด ใช้เวลาไม่นานพวกเราก็ได้บัตรผ่านมาครอบครอง แต่ขอไม่เอารูปลงดีกว่า แบบว่ามันค่อนข้างจะอืม....ตามความเร็วที่ได้ 555555

Finally I'M HERE ! ในที่สุดก็มาถึงแลนมาร์กของเราแล้วจ้า อุตส่าห์ตั้งใจดั้นด้นมาถึงกัมพูชาก็เพื่อสิ่งนี้ยยย นครวัด มรดกโลกชิ้นสำคัญที่เคยได้ขึ้นทะเบียนเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกโดยองค์การยูเนสโกมาแล้ว ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของประเทศ ปรากฏอยู่บนธงชาติกัมพูชาให้เราได้เห็นกันมาตั้งแต่สมัยเรียนวิชาประวัติศาสตร์ตอนมัธยมนู่นแน่ะ

นครวัดเริ่มสร้างในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 แต่เดิมใช้เป็นเทวสถานของศาสนาฮินดูซึ่งสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระวิษณุ ก่อนที่จะกลายมาเป็นศาสนสถานของศาสนาพุทธในปัจจุบัน นครวัดจึงมีชื่อเต็มอย่างเป็นทางการว่า บรมวิษณุโลกา อันมีความหมายว่า ที่ประทับของพระวิษณุนั่นเอง

ด้วยความที่กินพื้นที่กว้างถึง 401 ตารางกิโลเมตร ยิ่งเดินเข้าไปด้านในยิ่งใหญ่โตอลังการสมฐานะพระราชวังเก่า พี่ไกด์เล่าให้เราฟังว่าบริเวณรอบๆนครวัดมีปราสาทน้อย-ใหญ่ด้านในมากถึง 200 หลัง จึงนับเป็นโบราณสถานสำคัญซึ่งถือเป็นต้นแบบปราสาทอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีสภาพสมบูรณ์แบบที่สุด และยังได้ชื่อว่าเป็นโบราณสถานที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย

รวมๆแล้วเราเดินกันอยู่ประมาณ 2 กิโลกว่า แต่น่าเสียดายที่ช่วงนี้บริเวณมุมมหาชนด้านหน้าสระน้ำเค้ากำลังทำการปิดปรับปรุงสะพาน เลยได้แต่ภาพบรรยากาศด้านข้างมาฝากเพื่อนๆแทน ไม่เป็นไร เอาไว้คราวหน้าค่อยกลับมาซ่อมอีกก็ได้ !

มานครวัดแล้วต้องไม่พลาดไปต่อ นครธม เหมือนเป็นปราสาทพี่น้องที่ต้องมาเที่ยวคู่กัน

นครธม ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของนครวัด โดดเด่นในเรื่องของการแกะสลักนางอัปสร และศิลปะที่ค่อนข้างละเอียดลออ โดยเฉพาะตัวปราสาทบายน ปราสาทหลักของพระเจ้าชัยวรมันที่ตั้งอยู่ใจกลางพระนคร ใครชอบถ่ายรูปคงถูกใจที่นี่เป็นพิเศษเพราะมีมุมถ่ายรูปชิคคูลให้เก็บภาพได้เพียบ

ปิดท้ายวันนี้กันด้วยปราสาท ปราสาทตาพรหม ซึ่งหลายคนอาจจะพอคุ้นตาจากภาพยนตร์เรื่อง Tomb Rider ของขุ่นแม่แองเจลินาโจลี่กันมาบ้าง

กับภาพปราสาทหินที่มีต้นไม้และรากไม้ใหญ่ขนาดมหึมาปกคลุมไปทั่ว คล้ายกับกำลังโอบกอดตัวปราสาท ดูลึกลับสุดๆ เหมือนจะพาเราทะลุไปอีกมิตินึงเลยค่ะ

แม้ปัจจุบันนี้ ปราสาทตาพรหมจะผุพังไปบ้างตามกาลเวลา แต่รับรองได้เลยว่ามาแล้วสวยงามคุ้มค่าไม่แพ้นครวัด นครธมแน่นอน

แวะทานมื้อกลางวันในเวลาบ่ายกว่าๆ ก่อนจะกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สบายตัวที่โรงแรม รอเวลาไปชมการแสดง Prae Circus คืนนี้กัน ~

Prae Circus กายกรรมชื่อดังจากบรรดานักแสดงชาวกัมพูชา ที่อาศัยการเล่าเรื่องผสมผสานกับการเท้าความเล่าภูมิหลังของประเทศกัมพูชาตั้งแต่สมัยอดีต ยุคสงคราม จนถึงปัจจุบันในรูปแบบของโชว์ตลอดเวลาหนึ่งชั่วโมงเต็ม เป็นอะไรที่สนุกและแปลกตามากค่ะ กล้าพูดได้เลยว่า ดีเหนือความคาดหมายเรามาก มีโอกาสต้องลองมาดูให้ได้เลย ถือเป็นหนึ่งในโปรแกรมที่ใครมาเที่ยวต้องห้ามพลาดเชียว

ก่อนจะเริ่มโชว์ทางคณะจะจัดการแจกพัดสานเก๋ๆไว้แก้ร้อน และกระบอกน้ำเย็นๆให้ไว้เป็นที่ระลึกด้วยค่ะ

สำหรับค่าเข้าชมที่นี่แบ่งออกเป็น 3 เรทด้วยกันตามโซนที่นั่ง คือ Section A (Front Middle) ผู้ใหญ่ 35$ เด็ก 18$ , Section B (Rear Middle) ผู้ใหญ่ 25$ เด็ก 15$ และ Section C ผู้ใหญ่ 18$ เด็ก 10$ ส่วนเด็กที่อายุต่ำกว่า 5 ปีเข้าชมฟรีค่า

กลับจากดูกายกรรมคืนนี้เราไม่ได้ออกไปไหนต่อ แต่เลือกทิ้งท้าย Farewell Night กับชาวแก๊งค์ที่โรงแรม Lub d นี่แหละ เล่นเกม จิบเบียร์ เม้ามอยกันแบบยาวไปทั้งคืน

วันนี้เราตื่นสาย ไม่ใช่เพราะแฮงค์ค้างจากเมื่อคืนแต่อย่างใด 55555 แต่เพราะแพลนวันนี้ของมีแค่รอเช็คเอาท์ เตรียมเดินทางกลับบ้านอย่างเดียว ทุกคนเลยทำตัวสบายๆไม่ต้องรีบร้อนได้ ไปให้ทันเครื่องก็พอ ฮาา