bar_chart
0
favorite
0
shopping_cart
0
ยังไม่มีสินค้าในตะกร้า.

กระบี่อีกกี่ครั้งก็ยังสนุก... ติดเกาะ ล่องเรือ แช่ออนเซ็น สัมผัสวิถีชาวบ้านชิลๆ 3 วัน 2 คืน

calendar_month 28 มี.ค. 2017 / stylus Admin Chillpainai / visibility 48,219 / ทริปตัวอย่าง



 


- กระบี่ เมืองทะเลสามด้าน วัฒนธรรมสามสาย -
 
พูดถึงกระบี่ เราเชื่อว่าหลายคนคงเคยมีโอกาสเก็บกระเป๋าลงใต้ไปเที่ยวมาบ้าง เพราะบรรดาเกาะแก่งต่างๆ และทะเลกระบี่เค้าขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามสมคำขวัญมรกตอันดามัน แต่ถ้าไปกระบี่รอบสอง สาม สี่แล้วยังเที่ยวแต่ทะเลอีกมันก็คงจะน่าเบื่อเกินไป ทริปนี้เราเลยตั้งใจหาอะไรแปลกใหม่เป็นกำไรให้ชีวิตแบบที่คนทั่วไปไม่ค่อยได้สัมผัสแบบลึกซึ้ง ใกล้ชิดกับเส้นทางท่องเที่ยวที่เน้นธรรมชาติและวิถีชุมชนแท้ๆดูสักครั้ง และมันก็คุ้มค่าพอที่จะทำให้ได้รู้ว่า " กระบี่ไม่ได้มีดีแค่ทะเล " จริงๆนะ !

 



สนามบินดอนเมือง เวลา 7 โมงเช้า คือสถานที่นัดรวมตัวเตรียมเหินฟ้าสู่จังหวัดกระบี่พวกเราาาา หลังจากใช้เวลานั่งมองน้ำ มองฟ้า ฟังเพลงในเพลย์ลิสต์ที่โหลดไว้ยามเดินทางเพลินๆไม่กี่ชั่วโมง ล้อเครื่องบินก็พาเราแตะรันเวย์สนามบินนานาชาติกระบี่โดยสวัสดิภาพ กระโดดขึ้นรถตามเรามา รีบมุ่งหน้ามาสู่ท่าเรือเจ้าฟ้าให้ไว เตรียมตัวขึ้นเรือหัวโทงไปตะลุยเกาะกลางกัน...
 

ระหว่างล่องเรือไปเกาะกลางด้วยความที่ยังเป็นเวลาสายๆ เราเลยมีโอกาสได้แวะดูวิถีประมงที่ปากแม่น้ำ ดูการจับกุ้ง จับปลาตามกิจวัตรประจำวันของคนกระบี่แบบดั้งเดิม ตั้งแต่การทอดแห ลากอวน ไปจนถึงใช้เรือประมง บริเวณไหนมีกุ้ง หอย ปู ปลามากหน่อย ก็จะมีเรือจอดอยู่อย่างชุกชุม บรรยากาศสนุกสนาน ครึกครื้นเหมือนชุมนุมเรือประมงเลยล่ะ 


มาถึงถิ่นทั้งที ต้องไม่พลาดแวะไปเช็คอินอัพโหลดภาพเป็นการยืนยันว่ามาถึงกระบี่ที่เขาขนาบน้ำแลนมาร์คสำคัญของจังหวัด เหตุผลที่ได้ชื่อว่าเขาขนาบน้ำนั้นมาจากลักษณะของภูเขาสองลูกที่ขนาบอยู่ข้างแม่น้ำกระบี่นั่นเอง นอกจากนี้ทางด้านบนของภูเขาลูกขวายังมีถ้ำเขาขนาบน้ำ ถ้ำสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่มีการขุดค้นพบโครงกระดูกมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์และภาพเขียนสีอยู่ภายใน นักท่องเที่ยวสามารถแวะเข้าไปเยี่ยมชมได้
 

จากเขาขนาบน้ำมาประมาณ 15 - 20 นาที ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงบ้านเกาะกลาง ชุมชนมุสสิมขนาดใหญ่จำนวนหลายร้อยครัวเรือน แม้จะอยู่ห่างจากตัวเมืองกระบี่ไม่ไกลนัก แต่ที่นี่กลับยังคงวิถีชีวิตแบบบ้านๆอันแสนมีเสน่ห์ได้อย่างน่าดูชม


หรือถ้าใครอยากสัมผัสกระบี่ให้ลึกซึ้ง ใกล้ชิดมากกว่าเดิม บนเกาะกลางเค้าก็มีโฮมสเตย์หน้าตาน่ารักอย่างคิดถึงคอทเทจให้นักท่องเที่ยวได้พักผ่อนซึมซับทั้งธรรมชาติ และวัฒนธรรมของบ้านเกาะกลางไว้บริการนะจ๊ะ




หลังจากฟังผู้เฒ่าผู้แก่กล่าวต้อนรับ และเล่าประวัติคร่าวๆของเกาะกลางที่อยู่กลางทั้งเมืองกระบี่ และกลางแม่น้ำพลางจิบเวลคัม ดริ้งค์ให้ชุ่มคอคลายร้อนกันไปแล้ว เราก็พาตัวเองกระเตงขึ้นรถซาเล้งคู่ใจ ออกไปรับลม ตะลุยสำรวจชุมชนให้ครบถ้วนกันแบบทุกซอกทุกมุม 
 





 
ผ่านทั้งป่าชายเลนผืนใหญ่ ทุ่งนา มาจนถึงแหล่งผลิตผ้าบาเต๊ะแฮนด์เมด ซึ่งชาวบ้านจะเริ่มทำกันตั้งแต่ขั้นตอนแรกอย่างการหลอมขี้ผึ้งผสมเทียน ปั๊มลาย ระบายสีเฉพาะจุด และย้อมสีทั้งผืน จนกลายเป็นของที่ระลึกส่งออกทำรายได้ให้กับชุมชน ถัดไปไม่ไกล เราไปต่อกันที่วิสาหกิจชุมชนกลุ่มผลิตเรือหัวโทงจำลอง เพื่อดูการสาธิตการต่อเรือหัวโทงจำลอง เรือที่ผูกพันกับชาวกระบี่มาอย่างยาวนาน ในอดีตใช้ในการไปมาหาสู่กันระหว่างพี่น้อง แต่ปัจจุบันถูกนำมาใช้ในการทำประมง เนื่องจากสามารถแหวกคลื่นสูงได้ดีระดับ 2-3 เมตรเลยทีเดียว 
 


เพราะเป็นชุมชนของชาวมุสสิมขนาดใหญ่นี่เอง ความพิเศษของเกาะนี้จึงอยู่ที่มีสัตว์เลี้ยงหลากหลายชนิดเลยค่ะ ทั้งเป็ด ไก่ ห่าน น้องควาย น้องแพะ เดินเล่นขวักไขว่ให้เห็นอยู่แทบทุกบ้าน ยกเว้นก็แต่สุนัข ที่มีกฎว่าห้ามเอาขึ้นเกาะอย่างเด็ดขาด !


มัวแต่ตื่นตาตื่นใจตะลอนทัวร์จนเริ่มหิว แน่ล่ะว่าคงมีทางออกเดียวเท่านั้น คือ กินค่ะ ! เมื่อหิวเราก็ต้องกิน จัดเต็มกันไปเล้ยกับอาหารหลากสไตล์ที่ร้าน "ขนาบน้ำวิวซีฟู้ด" ร้านอาหารริมน้ำวิวดีในรูปแบบแพไม้หลังคามุงจาก โชคดีที่เราโทรมาสั่งล่วงหน้าไว้ก่อนแล้วเลยไม่ต้องรอนาน เรียกว่าพอหย่อนตัวนั่งปุ้บ อาหารก็ทยอยออกมาเสิร์ฟปั้บ แถมยังมีแต่เมนูยั่วน้ำลายซะด้วยสิ ทั้งหอยชักตีน น้ำพริกกุ้งสด กุ้งราดซอสมะขาม ลวกจิ้มซีฟู้ดจานยักษ์ และอีกมากมาย เต็มโต๊ะซะจนพวกเราแอบกังวลกันอยู่ลึกๆว่าจะกินไม่หมดรึเปล่านะ ที่ไหนได้...ครึ่งชั่วโมงผ่านไป เกลี้ยง !!!




ก่อนจะเริ่มโปรแกรมต่อไป เราแวะเข้าไปเช็คอินที่พักเอาของไปเก็บกันที่รีสอร์ทสไตล์ชิโนโปรตุกีสสวยงามนาม "บุหลันอันดา" ที่มีความหมายอันแสนไพเราะเสนาะหูว่า "จันทร์กระจ่างกลางอันดามัน" กันก่อนค่ะ เห็นครั้งแรกนี่ถึงกับต้องร้องว้าวดังๆ นอกจากที่พักจะดีไซน์เก๋ แบ่งเป็นหลังๆแล้ว ทำเลที่ตั้งของที่นี่ก็ดีงามพระรามสิบนาจา บุหลันอันดา ตั้งอยู่ปลายสุดของอำเภอแหลมสัก จึงเป็นทำเลเหมาะสมที่จะชมพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกได้อย่างงดงาม มีทั้งร้านนั่งชิล และชายหาดเก๋ๆไว้ถ่ายรูปอีกด้วย










เมื่อเช้าได้เยือนชุมชนมุสลิมไปแล้ว คราวนี้ถึงคิวของชุมชนของชาวจีนที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานในจังหวัดกระบี่ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มกันบ้าง ก่อนอื่นเราแวะมาไหว้ศาลเจ้าจีนที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือเพื่อความเป็นสิริมงคลสักหน่อย หลังจากนั้นก็ได้เวลาเดินถ่ายรูปบ้านเก่า พบปะทักทายอากงอาม่าที่อาศัยอยู่บริเวณนี้มาเป็นเวลาหลายสิบปีจนอิ่มเอมใจไปกับความน่ารักสมชื่อคำขวัญ ' กระบี่เมืองน่าอยู่ ผู้คนน่ารัก ' 








เราบอกลาเย็นวันนี้ด้วยการยืนรอส่งคุณพระอาทิตย์กลับไปพักผ่อนจนสุดสายตาที่วัดแหลมสัก กระทั่งแสงสีทองสุดท้ายท่ามกลางวิวพาโนราม่าที่งดงามราวกับเทพนิยายจะค่อยๆคล้อยต่ำลงจนหายลับขอบฟ้าไปไกลยังอีกซีกโลก นับว่าเป็นช่วงเวลาดีต่อใจและชวนให้ประทับใจแบบสุดๆ ภาพความสวยงามในวันนี้จะตราตรึงใจเราไปอีกนานแน่นอน


 

 


อรุณสวัสดิ์เช้าวันที่ 2 ~ เราตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่ฟ้ายังมืดตึ๊ดตื๋อแม้จะยังมัวขี้ตา เพราะชักช้าเกรงว่าจะไม่ทันล่องเรือไปดูแสงแรกที่ผาเขาค้อมน่ะสิ สารภาพเลยว่าตอนแรกที่ลงเรือได้กะว่าจะแอบหลับต่อด้วยความง่วงระดับเต็มสตรีม แต่พอเห็นท้องทะเลเบื้องหน้าที่ฟ้าเริ่มแต่งแต้มไปด้วยสีสันเหนือทิวเขาน้อยใหญ่ ผลัดเปลี่ยนเฉดสีจากน้ำเงินเข้ม ม่วงอมส้ม ส้มแล้ว รู้ตัวอีกทีก็เผลอหลงใหลไปกับความงามเบื้องหน้าจนสว่างคาตา





ไฮไลท์ของผาเขาค้อมนั้นอยู่ตรงการมองแสงอาทิตย์แสงแรกของวันผ่านช่องหินงอกหินย้อยค่ะ แต่ก่อนจะมาถึงจุดนี้ได้เราต้องผ่านการก้มๆเงยๆค้อมตัวผ่านซอกหิน จนถูกเรียกขานกลายเป็นที่มาของชื่อผาเขาค้อมนั่นเอง 





จากนั้นเรามุ่งหน้าไปปูเสื่อ นอนเล่นเอนกายชิลๆทานมื้อเช้าที่หาดฉิ้งฉั้งกันต่อ พี่คนเรือบอกว่าเกาะนี้ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวมากนัก บรรยากาศเลยแสนจะเงียบสงบ ได้ฟังเสียงคลื่น เสียงนก สูดอากาศสดชื่นจนเต็มปอด สบายจนเหมือนเกาะส่วนตัวเลยล่ะ ช๊อบชอบ อ้อ~ แต่เกาะนี้จะไม่มีเจ้าหน้าที่และที่ทำการอุทยานนะคะ หากอยากทานอะไร หรืออยากได้อะไรต้องเตรียมตัวมาเองให้พร้อม



บนหาดฉิ้งฉั้งมีมุมชิงช้าให้นั่งเล่นแบบชิลๆด้วยนะ หรือถ้าใครอยากจะเล่นน้ำก็ลุยโลด กระโดดโลดเต้นได้ตามใจชอบเลยค่ะ 







ออกเดินทางด้วยเรือหัวโทงไปชมความงามของเกาะแก่งน้อยใหญ่รอบทะเลกระบี่ ในบางช่วงยังสามารถมองเห็นเกาะยาวน้อย เกาะยาวใหญ่ จ.พังงาได้ด้วยตาเปล่า และบริเวณด้านข้างภูเขาหินปูนบางลูก หากสังเกตดีๆจะมองเห็นภาพเขียนสีโบราณลวดลายแปลกตาปรากฎอยู่ ซึ่งชาวบ้านที่นี่สันนิษฐานกันว่าในอดีตบริเวณนี้เคยเชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่มาก่อน 


 
แวะมาเยี่ยมชมฟาร์มสาหร่ายพวงองุ่น เจ้าสาหร่ายลูกจิ๋วหนึ่งในพืชเศรษฐกิจของจังหวัดกระบี่
ฟาร์มแบบระบบเปิดที่ชาวบ้านเค้าจะปลูกองุ่นกันให้เห็นจะๆกลางทะเล 





ถ้าจังหวัดพังงามีเขาตะปู ที่กระบี่ก็มีเขาเหล็กไหล... ภูเขาหินปูนรูปร่างเรียวเล็กที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจ มาแอ็คท่าถ่ายรูปแบบครีเอทตรงจุดนี้กันเป็นจำนวนมาก ทั้งหยิบ คีบ แบก ทุบ สนุกสนานกันไป เราเองก็ร่วมจอยกับกิจกรรมนี้ไปกับคนอื่นเค้าเหมือนกัน อิอิ





คุณลุงคนนี้กำลังแจวเรือหากุ้งค่ะ แต่จริงๆแล้วมันเป็นกุ้งจิ๋ว หรือที่เรียกว่าเคยสำหรับใช้ทำกะปิมากกว่า
ยอมรับเลยว่าลุงแกแข็งแรงมว๊ากกก เพราะระยะทางที่แจวมาจากฝั่งนี่ไม่ใช่ใกล้ๆเลย ขอคารวะค่าคุณลุง 





หลังจากล่องเรือรับลม ชมทะเลจนหนำใจ คืนนี้เราเช็คอินที่ "วารีรักษ์ รีสอร์ท แอนด์ สปา" รีสอร์ทสไตล์ธรรมชาติใกล้น้ำพุร้อนคลองท่อม เพื่อการผ่อนคลายกับสายน้ำอุ่นๆซึ่งได้ชื่อว่าเป็นออนเซ็นเมืองใต้ ชดเชยอาการเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดทั้งวัน และถึงแม้จะไม่ได้เข้าพักที่นี่ นักท่องเที่ยวทั่วไปก็สามารถมาทำสปาแบบวันเดย์ทริปได้ค่ะ





สำหรับบ่อน้ำร้อนของที่นี่ มีให้เลือกกันได้หลายสิบบ่อตามความชอบ และระดับความร้อนเลยค่ะ รวมถึงในห้องพักเองก็มีชุดเตรียมพร้อมไว้ให้เปลี่ยนครบเสร็จสรรพ แต่ถ้าใครไม่อยากตัวเปียกจะเลือกเป็นแบบนวดผ่อนคลายแทนก็ได้นะ และพิเศษสุดๆสำหรับผู้เข้าพักทุกห้อง ทางรีสอร์ทยังมีบริการนวดฝ่าเท้าก่อนนอน สอนโยคะ ฝึกบริหารการหายใจที่จะช่วยให้หลับสบายอีกต่อหนึ่งด้วย







 

วันสุดท้ายในกระบี่แบบนี้ เราตื่นสาย อาบน้ำ เก็บกระเป๋าตรวจสอบความเรียบร้อยก่อนเช็คเอาท์เพื่อมาเที่ยวกันที่ทุ่งหยีเพ็ง อีกหนึ่งชุมชนมุสลิมบนเกาะลันตาใหญ่ ที่กำลังยกระดับการท่องเที่ยวชุมชนเชิงอนุรักษ์และให้คนทั่วไปได้มีโอกาสสัมผัสกับวิถีชีวิตเรียบง่ายแบบไม่ปรุงแต่งของชาวบ้านที่นี่



โดยแต่ละหมู่บ้านก็จะมีกิจกรรมให้ทำแตกต่างกันออกไป อย่างหมู่บ้านของเราเป็นการทำอาหารง่ายๆที่จะให้นักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมได้มีส่วนร่วม รวมไปถึงรีเควสเมนูอาหารกลางวันได้เองตามใจชอบมากถึง 3 เมนู 
 


เมนูหลักในวันนี้ของเราเป็นส้มตำ ลาบไก่ และยำหอยแครงค่ะ สาวๆที่มีฝีมือในการทำอาหาร เป็นแม่บ้านแม่เรือนเค้าเลยขออาสาจัดการกันไป ส่วนเรานั้นรับหน้าที่เป็นฝ่ายชิม สบายตัวแล้วยังสบายพุงด้วยล่ะ บอกเลยว่าอร่อยเว่อร์ อิ____อิ 





ก่อนจะโบกมือลาจังหวัดกระบี่ เราแวะมาเที่ยวทิ้งท้ายกันที่ป่าชายเลนบ้านทุ่งหยีเพ็งค่ะ นอกจากจะเป็นป่าชายเลนผืนใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์มากที่สุดอีกแห่งหนึ่งในกระบี่แล้ว ที่นี่ยังขึ้นชื่อในเรื่องการล่องเรือชมธรรมชาติ และทำสมาธิไปกับการสูดหายใจลึกๆรับอากาศสดชื่นกลางป่า ฟังเสียงนก เสียงน้ำไหล ปลดปล่อยตัวเองไปกับธรรมชาติอันแสนสงบรอบตัว 
 



เพื่อนๆคนไหนสนใจการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่แบบนี้ สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่พี่นัท นราธร หงส์ทอง ประธานกลุ่มการท่องเที่ยวทุ่งหยีเพ็งได้เลยค่ะ โทร. 089-5909173 หรือทางเฟซบุ้ค ทุ่งหยีเพ็ง cbt. 






 
เอาเป็นว่าถ้ามีเวลาว่าง หรือรู้สึกเหนื่อยล้า ท้อแท้ หมดไฟในชีวิตเมื่อไหร่ ลองละสายตาจากน่าจอไปมองอะไรสวยๆงามๆ รับพลังจากธรรมชาติดูบ้างก็ดีเหมือนกันนะ :)
26
 

เรียบเรียงโดยชิลไปไหน
ขอบคุณทริปดีๆจาก Local Alike

 

 

เขียนโดย
Admin Chillpainai
Admin Chillpainai