bar_chart
0
favorite
0
shopping_cart
0
ยังไม่มีสินค้าในตะกร้า.

เที่ยวปาย : Pai in the mist เที่ยวปายในสายหมอกกับทริป 4 วัน 3 คืน ไปไหน...ปายกัน

calendar_month 10 ก.ย. 2015 / stylus Admin Chillpainai / visibility 98,459 / ทริปตัวอย่าง





 Story & Photo : แก๊งลูกแมว

หลายคนเข้าใจว่าการมาเที่ยวอ.ปายควรมาตอนหน้าหนาว ด้วยหวังว่าจะได้สัมผัสอากาศเย็นๆและบรรยากาศสวยๆของเมือง แต่หารู้ไม่ว่าคนพื้นที่จริงๆแล้วนั้น เขากลับบอกเราว่าการเที่ยวปายใน "หน้าฝน" คือฤดูกาลท่องเที่ยวที่สวยงามที่สุด เพราะสายฝนที่ชุ่มฉ่ำจนกระทั่งจางหายระเหยเป็นไอ จะทำให้ปายกลายเป็นเมืองในสายหมอกอย่างแท้จริง และเราก็พิสูจน์มาแล้วด้วยตัวเองกับช่วงเวลา 4 วัน 3 คืนในปาย เมืองเล็กๆที่มนต์เสน่ห์ไม่เล็กเมืองนี้...






27 สิงหาคม 2558



05.30 น. : เวลาเช้ามืดแบบนี้หลายคนอาจจะกำลังออกไปทำงาน หรือกำลังจะไปเรียนหนังสือกัน แต่สำหรับพวกเราแล้ว เวลานี้คือการนัดรวมพลผู้ร่วมทริปตะลุยปายหน้าฝนกันที่สนามบินดอนเมือง ถ้าพร้อมแล้วก็ออกเดินทางกันเล้ยยย!

06.40 น. : เราออกเดินทางจากท่าอากาศยานดอนเมือง โดยใช้เวลาบินประมาณ 1 ชม.กว่าหน่อยๆ ตามที่กัปตันประกาศบนเครื่อง 

07.55 น. : เผลอแป๊บเดียวก็แลนด์ดิ้งถึงท่าอากาศยานเชียงใหม่แล้วเจ้า 
อากาศภาคพื้นโดยรวมกำลังดี 25 องศาเท่านั้นเอง เย็นสบายกว่าเปิดแอร์อีกนะเนี่ย เนื่องจากว่ามาถึงในเวลาเช้าแบบนี้เลยต้องหาอะไรเติมพลังกันก่อน ศูนย์อาหารม่อนระมิงค์เลยเป็นตัวเลือกที่ดีของเราในการฝากท้องมื้อแรกที่เชียงใหม่ ใน 9 โมงกว่า ม่อนระมิงค์ถือเป็นจุดพักรถที่มีนักท่องเที่ยวแวะมาใช้บริการมากที่สุดอีกจุดหนึ่ง เพราะห้องน้ำสะอาด อาหารอร่อย อยู่ตรงเส้นทาง 1095 ที่จะมุ่งหน้าสู่อ.ปายพอดี

 





11.20 น. : นั่งรถมานานแล้ว ขอยืดเส้นยืดสายดื่มเครื่องดื่มเย็นๆให้สดชื่นกันที่ร้านกาแฟ 32 coffee hill กันหน่อยแล้วกันนะ
 



12.00 น. : จุดชมวิวที่สองที่เราแวะพักก่อนถึงปาย คือการลงมาเดินเล่น ถ่ายรูป กินลมชมวิวสวยๆกันที่ห้วยน้ำดัง สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบกางเต็นท์ รอดูดาว และชมทะเลหมอกจ้า วันนี้เราเสียค่าเข้ากันแค่คนละ 25 บาทเท่านั้น เพราะวันธรรมดาทางอุทยานฯลดครึ่งราคาล่ะ โชคดีจริงๆ
 

 

อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดังตั้งอยู่บนเทือกเขาถนนธงชัยมีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ และอ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ลักษณะป่าค่อนข้างสมบูรณ์ เป็นป่าต้นน้ำของแม่น้ำลำธารหลายสาย มีภูเขาสูงชันสลับซับซ้อน และธรรมชาติที่สวยงามล้อมรอบ มีจุดชมวิวดอยกิ่วลมเป็นจุดชมวิวที่งดงามและมีชื่อเสียงมากที่สุด สามารถมองเห็นดอยเชียงดาว หรือรอชมพระอาทิตย์ขึ้นและชมทะเลหมอกในช่วงเช้าตรู่ได้ ที่สำคัญขอบอกเลยว่า ตอนกลางคืนดาวสวยมาก!
 





 
เกร็ดน่ารู้ : 

1. การมาที่อ.ปายหากบินมาจากจ.เชียงใหม่ ให้นั่งรถแดงไปที่อาเขต ค่าบริการประมาน 60-100 บาท จะมีท่ารถขึ้นปาย ออกทุกชั่วโมง

2. เส้นทางก่อนเข้าสู่ห้วยน้ำดังมีโค้งค่อนข้างเยอะ ใครเมารถควรกินยาแก้เมา หรือเตรียมยาดมกันไว้ก่อนก็ดี ถนนส่วนใหญ่เทคอนกรีตเกือบหมดแล้ว ส่วนที่เหลือกำลังดำเนินการทำอยู่ คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงเดือนมกรา - กุมภา และจะเป็นถนนสายที่โรแมนติกที่สุดของเมืองไทย

3. อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดังมีทั้งบ้านพักอุทยาน และลานกางเต็นท์ให้บริการ ติดต่อสอบถามหรือสำรองการเข้าไปใช้บริการล่วงหน้าก่อนการเดินทางที่อุทยานแห่งชาติโดยตรงได้ที่เบอร์ 084-908-1531 และ 053-248491 สำหรับอัตราค่าบริการอยู่ระหว่าง 250 - 800 บาท ขึ้นอยู่กับชนิด ขนาดของเต้นท์ และอุปกรณ์อื่นๆ

14.00 : ในที่สุดเราก็มาถึงปายในเวลาบ่ายสองโมง ความจริงจากตัวเมืองเชียงใหม่ถึงอ.ปาย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3-4 ชม.กว่าๆ แต่สำหรับเราที่แวะพักมาหลายที่เลยต้องบวกลบกับการแวะพักตามที่ต่างๆนิดหน่อย มื้อกลางวันแบบเมนูคนเหนือก็รอเราอยู่ที่โรงแรม The Quater Hotel


15.00 น. : พอท้องอิ่มแรงก็มา เราออกเดินทางมาที่น้ำพุร้อนธรรมชาติไทรงามกันต่อ แต่เดิมน้ำพุร้อนไทรงามเป็นน้ำพุที่ชาวบ้านในพื้นที่นิยมมาแช่ตัวกัน แต่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเห็นชาวบ้านมาใช้มากๆเข้าเลยถือโอกาสขอมาแช่ตัวบ้าง และเพราะน้ำพุร้อนแห่งนี้ยังไม่เป็นที่รู้จักของคนไทยมากนัก เรียกว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันซีนเลยเถอะ เราเลยได้เห็นนักท่องเที่ยวจากนานาชาติเช่ามอเตอร์ไซต์ขี่เข้ามาจอดทิ้งไว้อยู่หลายสิบคันแทน น้ำของที่นี่ใสมาก เป็นสีเขียวมรกต และอุ่นน้อยๆ สามารถนำชุดมาเปลี่ยนเล่นน้ำได้ แต่ยังไม่มีห้องน้ำ และร้านขายของให้บริการ





เกร็ดน่ารู้ : 

จากตัวเมืองปายมาถึงปากทางเข้าน้ำพุนับเป็น 14 กม. 
เสียค่าเข้าคนละ 30 บาท และจากที่เก็บเงินถึงน้ำพุอีก 4 กม. รวมเป็น 18 กม. ส่วนยานพาหนะคิดราคาตามขนาด

Tip : ตลอดทางเข้ามาที่น้ำพุร้อนไทรงามมีโค้งเยอะมาก และค่อนข้างลาดชันอยู่หลายช่วง คนที่นี่เขาจึงใช้วิธีบีบแตรกันรถที่วิ่งเร็ว หรือรถที่สวนมาในกรณีที่มองไม่เห็น




16.00 น. : แดดร่มลมตกออกจากน้ำพุร้อนไทรงามมาต่อที่กองแลน หรือที่นักท่องเที่ยวรู้จักกันในนามปายแคนยอน เราจอดรถไว้ เตรียมกล้องพร้อม แล้วก็เดินตัวปลิวเข้าไปได้ฟรีๆ เพราะที่นี่ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ใช้เวลาไม่กี่นาทีกับระยะทางแค่ 200 เมตรเราก็ขึ้นมาถึงปายแคนยอนกันแล้ว




ปายแคนยอนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากการถูกกัดเซาะของลมและฝน จนกลายเป็นทางเส้นเล็กๆบนสันเขา ท่ามกลางภูเขาสลับซับซ้อน และบรรยากาศที่สวยงามคล้ายกับแพะเมืองผีที่จ.แพร่ สามารถเดินสำรวจเส้นทางได้เป็นวงกลม ชมความสวยงามได้โดยรอบแบบ 360 องศา เป็นไฮไลท์ยอดฮิตอันดับต้นๆของคนมาเที่ยวปาย สำหรับดูพระอาทิตย์ขึ้นและตกในที่เดียวกัน และยังเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องปาย อิน เลิฟ ถึงขนาดมีป้ายมาตั้งเป็นที่ระลึกไว้ให้นักท่องเที่ยวได้มาถ่ายรูปเล่นแบบเก๋ๆด้วยนะ






 
18.00 น. : หลังปีนป่ายปายแคนยอนจนหมดแรง ก็ถึงเวลาทานข้าวเย็นสักที สำหรับมื้อเย็นวันนี้เรามาทานกันที่ห้องอาหาร Silhouette ในเครือโรงแรม Reverie Siam


 
นั่งฟังเพลงเพราะๆ ดูวิวสวยๆไปพลางๆ อาหารมื้อใหญ่ 3 เมนคอร์ส และ 2 เมนูของหวานก็ทยอยออกมาเสิร์ฟพร้อมกับไวน์แดง ช่างเป็นดินเนอร์ใต้แสงเทียนที่โรแมนติกและบรรยากาศดีสุดๆ

เกร็ดน่ารู้ : ห้องอาหาร Silhouette เปิดให้บริการ 3 ช่วง คือ 07.00 - 11.00 น., 12.00-15.00 น. และ 17.00 - 22.00 น. คนนอกที่ไม่ได้พักในโรงแรมก็สามารถเข้ามาทานได้ 
 

21.00 น. : พอหนังท้องตึงหนังตาก็หย่อนตามระเบียบถึงเวลาเข้าที่พักสักที สำหรับคืนแรกนี้เรามานอนกันที่บ้านกุงแกง รีสอร์ทน่ารักสไตล์ลูกกวาดสีสันสดใส ห้องนอนกว้างใหญ่ ตกแต่งด้วยสไตล์วินเทจหน่อยๆชวนให้หลับฝันดี 





28 สิงหาคม 2558


05.45 น. : เราตื่นมาอาบน้ำ แปรงฟันกันตั้งแต่เช้ามืด ระหว่างรอรถตู้มารับไปยังเป้าหมายแรกของวันนี้ ก่อนจะมาถึงจุดชมทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นที่หยุนไหลในเวลาใกล้ๆหกโมง ถึงฟ้าจะยังมืดอยู่ แต่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติก็ทยอยเข้ามาจับจองพื้นที่กันบ้างแล้ว ส่วนตัวเราคิดว่าการมาถึงหยุนไหลตั้งแต่เช้ามืดถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะนอกจากจะได้สัมผัสอากาศเย็นๆแบบที่หาจากกรุงเทพไม่ได้แล้ว ยังได้เห็นการเปลี่ยนสีของท้องฟ้าแต่ละเวลาด้วย ซึ่งมันสวยงามมากและหาดูไม่ได้บ่อยนัก







 
หยุนไหลตั้งอยู่บนทำเลที่สามารถมองเห็นทรรศนียภาพของอ.ปายได้อย่างกว้างขวางและงดงามที่สุด สามารถนั่งจิบชาและของว่างร้อนๆไปพร้อมๆกับการรอดูพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกที่ปกคลุมบ้านเรือนและเรือกสวนไร่นาด้านล่าง น่าเสียดายที่วันนี้ท้องฟ้าปิด และเมื่อคืนฝนไม่ตกเลยอดเห็นทะเลหมอกหนาๆ กับพระอาทิตย์ขึ้นแบบชัดๆ แต่ไม่เป็นไรเอาไว้มีโอกาสคราวหน้าเราจะกลับมาใหม่แน่นอน
 

 




 
07.00 น. : กลับมาที่โรงแรมเพื่อทานอาหารเช้า ก่อนเริ่มกิจกรรมต่อไป

10.00 น. : สายหน่อย เรามาขี่ช้างกันที่ทมแคมป์ช้าง หรือ Thom's Elephant Camp โดยกิจกรรมนี้จะใช้เวลาประมาณ 1-2 ชม. มีทั้งเป็นเส้นทางที่เข้าป่าสั้นๆ วนรอบไร่ข้าวโพด และเส้นทางที่ช้างจะพานักท่องเที่ยวไปลงเล่นน้ำให้เลือก แต่สำหรับเราที่ไม่ได้เอาชุดมาเผื่อ เลยขอเลือกเป็นเส้นทางง่ายๆกันเปียกไว้ก่อนดีกว่า ตลอดเวลาที่อยู่บนหลังช้าง ขอบอกว่าหวาดเสียวและตื่นเต้นมากในคราวเดียวกัน โชคดีที่ช้างของที่นี่แสนรู้ และควาญช้างก็เป็นกันเอง มีการสอนให้เราบังคับช้าง ให้ช้างโชว์การแสดงเล็กๆน้อยๆ เป็นอีกกิจกรรมที่ประทับใจสุดๆ
 

 



Tip : 
- ไม่ควรใส่รองเท้าแตะขี่ช้าง เพราะจะทำให้ปีนขึ้นหลังช้างได้ยาก และลื่นหลุดได้ง่าย
- คนนั่งหลังจากควานช้างที่นั่งตรงส่วนหัวให้เอนไปด้านหลัง เป็นการป้องกันการตกจากหลังช้าง เพราะทางในช่วงขาลงค่อนข้างลาดชันเล็กน้อย 

 



เกร็ดน่ารู้ : 

1. ค่าใช้จ่ายสำหรับขี่ช้างธรรมดาอยู่ที่คนละ 400 บาท โดยช้างตัวนึงจะนั่งได้ประมาณ 2-3 คน หากเลือกแบบมีเก้าอี้ที่นั่งบนหลังช้างต้องเสียเงินเพิ่ม
2. กล้วยให้ช้างหวีละ 20 บาท ใครอยากมีรูปเก๋ๆไปอวดคนอื่นสามารถให้ช้างอุ้มตอนให้อาหารได้



12.30 น. : ทานมื้อกลางวันกันที่โรงแรมปายฮอทสปริง กับเมนูไก่สะเต๊ะ แคปหมูน้ำพริกหนุ่ม วุ้นเส้นผัดไข่ และอย่างอื่นอีกหลากหลาย แต่นอกจากเมนูอาหารกลางวันแล้ว ปายฮอทสปริงยังมีบริการบ่อน้ำพุร้อนให้แช่ตัวท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของป่าเขาไว้บริการด้วยนะ

 


13.30 น. : ใช้เวลา 15 นาทีจากปายฮอทสปริงสู่วัดศรีดอนชัย วัดแห่งแรกของอ.ปายเพื่อไหว้พระขอพรกับพระพุทธสิหิงค์ หรือพระสิงห์ปาย พระเก่าแก่พระคู่บ้านคู่เมืองเมื่อครั้งก่อตั้งเมืองปาย ศักการะองค์พระด้วยผางประทีปนักษัตรตามปีเกิด พร้อมกับการฟังพ่อหนานจันผู้เฒ่าผู้แก่แห่งบ้านปายเล่าประวัติความเป็นมาของอำเภอและตัววัด ปิดท้ายด้วยการผูกข้อไม้ข้อมือเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ผู้มาเยือนอย่างพวกเรา
 



 
วัดศรีดอนชัย ตั้งอยู่ต.เวียงเหนือ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน มีวิหารลายคำเป็นวิหารเก่าแก่ด้วยลวดลายศิลปะล้านนาที่สวยสดงดงามโดยมีทองคำเปลวแท้เป็นส่วนประกอบจำนวนมาก จึงทำให้ตัววิหารมีสีทองอร่าม บานประตูหน้าต่างแกะสลักลวดลายอย่างปราณีตบรรจง ด้านข้างกำแพงเป็นภาพเขียนบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาเกี่ยวกับอ.ปาย ภายในวิหารมีพระพุทธรูปหลักทั้งสิ้น 4 องค์ด้วยกัน คือ พระพุทธสิหิงห์ (พระสิงห์ปาย) พระฝนแสนห่า (ขอฟ้าขอฝน) พระเจ้าน้อย โดยทั้ง 3 องค์นี้ทำจากสัมฤทธิ์ทั้งหมด และพระหมายปาย พระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดที่มีอายุถึง 500 ปี
 


 
15.00 น. : เข้าวัดเข้าวาจนอิ่มอกอิ่มใจกันมาเต็มเปี่ยม แพลนต่อมาของพวกเราคือการให้อาหารแกะที่ Romance Farm จ้า ทุ่งหญ้าสีเขียวกว้างใหญ่ของที่นี่มีทั้งฟาร์มแกะ คอกม้า สวนกระต่าย ลานกิจกรรมดนตรี รวมไปถึงร้านกาแฟขนาดเล็กที่ตกแต่งด้วยสังกะสีในสไตล์คันทรีนิดๆเหมือนโรงนา ให้เราได้เอนกายฟังเพลงเพราะๆควบคู่กับการทานชีสเค้กที่แค่ชิมคำแรกก็แทบละลายในปาก ไหนจะกลิ่นกาแฟที่หอมกรุ่นไปทั่วร้าน ส่วนนมสดของดีไม่พูดถึงคงไม่ได้ ทั้งอร่อยและสดส่งตรงจากฟาร์มแท้ๆ สำหรับใครที่ชอบถ่ายรูปคงถูกใจแน่ เพราะที่นี่เค้ามีมุมสุดชิคให้ถ่ายรูปได้เพียบ ยังไงก็อย่าลืมเตรียมกล้องและเมมมาให้พร้อมล่ะ
 







16.30 น. : เดินทางมายังวัดพระธาตุแม่เย็นอีกหนึ่งไฮไลท์สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาปายจะพลาดไม่ได้เช่นกัน ณ จุดนี้เราสามารถมองเห็นวิวสวยๆของอ.ปายได้ในมุม 180 องศา ถัดไปอีกไม่ไกลเป็นจุดชมวิวแห่งใหม่ที่มีพระพุทธรูปสีขาวล้วนองค์ใหญ่อย่างพระพุทธโลอุตรมหามุนีประดิษฐานอยู่ที่ด้านบนสุด แม้ว่าอากาศจะร้อนจัดจนเหงื่อท่วมไปหน่อย หรือจะต้องเดินขึ้นบันไดมาหลายขึ้น แต่สิ่งที่เห็นมันทำให้เราหายเหนื่อยได้จริงๆ เพราะจากตรงนี้สามารถมองเห็นวิวของตัวเมืองได้สวยและชัดเจนกว่าเดิมอีก
 






 
18.00 น. : มื้อเย็นของวันที่ 2 เราฝากท้องไว้ที่ร้านขนาด ร้านอาหารริมน้ำบรรยากาศดีของโรงแรม Pai River Corner ตั้งอยู่ในย่านถนนคนเดินสุดฮิต กินอาหารอร่อยเคล้าเสียงดนตรีอันเป็นเอกลักษณ์ของทางภาคเหนือ นั่งมองแสงจันทร์ไปพลางๆ ฟินสุดๆไปเลย 
 




20.00 น : และแล้วก็ถึงเวลาที่เรารอคอย อย่างการช้อปปิ้งที่ถนนคนเดินปาย หรือ Pai walking street ถนนสายนี้เค้ามีสินค้าให้เลือกมากมาย ทั้งหมวดของกิน ของใช้ ของฝากที่ระลึก เรียกว่าเลือกซื้อกันไม่ถูกเลยทีเดียว แถมแต่ละอย่างที่วางขายก็เป็นงานแฮนเมด โชว์ฝีมือของแต่ละคนซะส่วนใหญ่ เรียกได้ว่าแต่ละชิ้นที่ซื้อไป แทบไม่มีซ้ำกับใครแน่นอนเพราะมันมีขายแค่ที่ปายเท่านั้น เผลอๆเงินที่พกมาทั้งหมดก็ใช้ไปกับถนนสายนี้นี่แหละ 
 









21.30 น. : เดินช้อปปิ้งจนปวดขาได้เวลาแห่งการพักผ่อนกันแล้ว สำหรับที่พักในคืนนี้เราพักกันที่บ้านกระทิงจ้า รีสอร์ทในสวน ร่มรื่นด้วยต้นไม้ล้อมรอบ สงบสมเป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนอย่างแท้จริง พอเอนตัวลงเตียงปุ้บ เราก็หลับสนิทปั๊บเลย
 





29 สิงหาคม 2558
 

06.00 น. : ตื่นนอนมาทำภารกิจส่วนตัวแต่เช้าจนสะอาดเรียบร้อย ก็ถึงเวลารอรถตู้มารับ

07.00 น. : เช้าวันนี้อากาศดีมากติดจะเย็นนิดๆ เราเลยขอเลือกปั่นจักรยานสำรวจเมืองปายกันกับเส้นทางปั่นจักรยานบ้านแม่ฮี้ เส้นทางจักรยานที่จะพาเราชมทุ่งนาสีเขียวขจีตัดกับท้องฟ้าสีครามสดใสตลอดระยะทางไป-กลับรวม 8 กม. ตั้งแต่โรงแรม Medio ไปจนถึงวัดทรายขาว

 

 







ปั่นไป แวะถ่ายรูป ชมความงามของธรรมชาติไป ในเวลาไม่นานก็เห็นวัดทรายขาวปลายทางของเราอยู่ใกล้แค่เอื้อม ไม่น่าเชื่อเลยว่า ณ ที่สงบใจกลางทุ่งนาแบบนี้ จะยังมีพระพุทธรูปสีขาวล้วนในแบบศิลปะพม่าที่ดูแล้วช่างงดงาม ตัดกับสีเขียวของต้นข้าวได้อย่างลงตัวซุกซ่อนรอให้เราค้นหาอยู่

Tips : 

- ใครอยากปั่นจักรยานเส้นทางบ้านแม่ฮี้ ขอแนะนำว่าควรออกมาปั่นตั้งแต่เช้าๆ เพราะอากาศจะเย็นสบาย  แดดยังไม่แรง และสามารถมองเห็นหมอกหนาๆปกคลุมอยู่บนยอดเขา ซึ่งสวยงามกว่าตอนสาย
- ในบางช่วงมีความลาดชัน ตอนขึ้นอาจจะต้องจูงจักรยาน คนที่เหนื่อยง่าย หรือแรงน้อยควรใช้จักรยานแม่บ้านคันใหญ่เพราะปั่นแล้วเหนื่อยน้อยกว่าคันเล็ก

 





 
แผนที่เส้นทางปั่นจักรยานบ้านแม่ฮี้


 
09.30 น. : หลังจากออกกำลังกายยามเช้ากันจนเหงื่อท่วมตัว หายไปหลายแคลอรี่แล้ว ก็ได้เวลาทานมื้อเช้าในช่วงสายกันที่ Rhino ห้องอาหารของโรงแรม Puri Pai ก่อนจะแยกย้ายกลับไปอาบน้ำอีกรอบ แล้วพักผ่อนกันตามอัธยาศัยรอโปรแกรมต่อไปจ้า

12.00 น. : ถึงเวลาสำหรับมื้อกลางวัน เราเลือกร้านอาหารบ้านปายเป็นคำตอบสุดท้าย อาหารของร้านบ้านปายจะเน้นอาหารพื้นเมืองง่ายๆเป็นส่วนใหญ่ ส่วนตัวร้านตั้งอยู่ริมถนน สะดวกต่อการเดินทางไปมา เมนูแนะนำที่ควรลองเลยคือ ปลาน้ำตก และต้มยำเห็ดไทใหญ่
 

13.30 น. : มีแรงเหลือเฟือพร้อมสำหรับทำกิจกรรมแอดเวนเจอร์ในช่วงบ่าย เราแวะมาที่ Love Strawberry กันต่อ สินค้าของส่วนใหญ่ไม่บอกก็รู้ว่าต้องเกี่ยวข้องกับเจ้าผลไม้สีแดงลูกเล็กอย่างสตอร์เบอร์รี่แน่ๆ มีทั้งไวน์สตอร์เบอร์รี่ที่หอมอร่อย หรือจะเป็นสมูทตี้ก็เนื้อแน่นเย็นชื่นใจ ของฝากจากสตอร์เบอร์รี่ก็มีเพียบ
 





 
แต่ตอนนี้เรากำลังตื่นเต้นกับเครื่องเล่นตรงหน้ามากกว่า เพราะไจแอนท์สวิง (Giant Swing) เครื่องเล่นสุดหวาดเสียวกำลังรอเราอยู่ แค่กระตุกเชือกให้เต็มแรง แล้วส่งเสียงร้องดังๆ ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับธรรมชาติระหว่างที่ลอยอยู่กลางอากาศด้วยกันดีกว่า




เกร็ดน่ารู้ : 

1. ไจแอนท์สวิงใช้
ระบบเซฟตี้อย่างแน่นหนาด้วยมาตรฐานระดับสากลแบบเดียวกับต่างประเทศ 
2. ค่าบริการรอบละ 200 บาท วิธีการเล่นมีทั้งแบบให้นักท่องเที่ยวกระตุกเชือกเอง และให้เจ้าหน้าที่ช่วยกระตุกให้

14.30 น. : กรี๊ดกันจนเสียงแหบกระตุ้นอะดินารีนให้พลุ่งพล่านจนพอใจแล้ว คราวนี้ขอมาเดินข้ามสะพานประวัติศาสตร์ปายสักหน่อย เพราะถ้ามาปายแล้วไม่ได้เดินข้ามสะพานนี้ เดี๋ยวคนอื่นเค้าหาว่าจะมาไม่ถึง
 



สะพานประวัติศาสตร์ปายอันเก่าแก่นี้ สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยกองทัพทหารญี่ปุ่น เหล็กทุกท่อน ไม้ทุกแผ่นจึงเต็มไปด้วยกลิ่นไอความคลาสสิคและเรื่องราวมากมาย เรามาถึงที่นี่ในช่วงหลังฝนตกเลยทำให้อากาศไม่ร้อนมาก ผู้คนจึงคึกคักมากเป็นพิเศษ บ้างก็มาเดี่ยว บ้างก็มาเป็นคู่ มาเป็นแก๊งแบบพวกเราก็มี แต่ที่แน่ๆไม่มีใครพลาดที่จะลืมถ่ายรูปเล่นบนสะพานนี้สักคน 
 

 



15.15 น. : หมู่บ้านจีนยูนนานหรือหมู่บ้านสันติชลเป็นเป้าหมายถัดมา วินาทีแรกที่เหยียบย่างเข้ามาให้อารมณ์เหมือนอยู่ประเทศจีนมากๆ ทั้งที่ตั้งอยู่ห่างจากตัวอำเภอปายประมาณ 4.5 กม.เท่านั้น ชุมชนนี้เขานำเสนอเอกลักษณ์ วัฒนธรรมของชาวจีนยูนนานอันเป็นรากฐานของชุมชนมาเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี




 
และเมื่อมาถึงที่แล้วเราก็ไม่ขอพลาดที่จะเล่นเครื่องเล่นประจำหมู่บ้านอย่างชิงช้าไม้ยูนนานแน่นอน ชิงช้าของที่นี่สามารถนั่งได้ครั้งละสี่คน ค่าเล่นตกแค่คนละ 25 บาทต่อรอบ และใช้แค่มือเกาะไว้กันตก ใครที่อยากท้าทายหรืออยากมีประสบการณ์หวาดเสียวใหม่ๆ แนะนำให้มาทดสอบกันได้
 

 



17.00 น. : แดดร่มลมตก สถานที่ท่องเที่ยวสุดท้ายของเราในวันนี้คือดอยกิ่วลมจ้า แต่ที่นี่เป็นคนละกิ่วลมกับที่ห้วยน้ำดังนะ ส่วนสาเหตุที่เรียกว่ากิ่วลมก็เพราะเป็นช่องแคบระหว่างภูเขา ทำให้มีลมเย็นๆพัดผ่าน เรานั่งรถขึ้นมาจนถึงยอดดอยอย่างใจจดใจจ่อแม้สองข้างทางตลอดระยะทางประมาณ 1 กม.จะหวาดเสียวอยู่ไม่น้อย แต่ก็คุ้มยิ่งกว่าคุ้มเมื่อฝ่าฟันเส้นทางสุดชันขึ้นมาถึงข้างบนจนได้ แสงแดดอ่อนๆในตอนเย็นกำลังสาดส่องอยู่ในหุบเขา ไหนจะลมที่พัดพาเอาไอเย็นมาปะทะตัว เป็นภาพที่งดงามจนอดไม่ได้ที่จะยืนซึมซับเก็บบรรยากาศแบบนี้ให้อยู่กับตัวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้
 


 
เกร็ดน่ารู้ :

1. ถ้าฝนตกจะไม่สามารถนำรถขับขึ้นไปได้เพราะเส้นทางจะลื่นมาก รถที่ขับตามกันมาควรขับชะลอและเว้นระยะห่างจากกันพอสมควร เพื่อป้องกันรถไหล
2. รถที่จะขึ้นดอยแนะนำให้เป็นรถตู้ หรือรถกระบะจะดีที่สุด นอกจากนี้รถมอเตอร์ไซต์ก็สามารถขึ้นมาได้ 
 



18.30 น. : หลังจากใช้พลังงานมาเยอะทั้งวันแล้ว อาหารเย็นมื้อสุดท้ายในปายเราฝากท้องไว้ที่ห้องอาหาร The Barn ของโรงแรม Puri Pai รีสอร์ทสุดหรูบรรยากาศดีของดาราหนุ่มอย่างคุณภูริ หิรัญพฤกษ์กันอีกครั้ง นั่งละเลียดอาหารเย็นจิบไวน์อาบแสงทไวไลท์สีชมพูอมส้มและเพลิดเพลินไปกับการชมวิวภูเขาอันกว้างใหญ่เบื้องหน้าไปพลางๆ ช่างเป็นดินเนอร์มื้อค่ำส่งท้ายก่อนกลับกรุงเทพที่วิเศษมากมื้อหนึ่งสำหรับทริปนี้ซะจริง


เกร็ดน่ารู้ :

ในส่วนของห้องอาหารที่ Puri Pai คนนอกที่ไม่ได้พักในโรงแรมก็สามารถเข้ามารับประทานอาหารได้ทั้งเช้า กลางวัน เย็นเช่นเดียวกันกับซิลลูเอท (
Silhouette)

21.30 น. : คืนสุดท้ายของทริปนี้จบลงที่ปายวิมาน รีสอร์ท ซึ่งตั้งอยู่ในย่านถนนคนเดิน แต่กลับเงียบสงบไม่พลุกพล่าน จากห้องพักสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำปายในยามค่ำคืนได้ พร้อมบรรยากาศโรแมนติกรอบที่พัก เตียงนุ่มๆ วิวๆสวยๆ เอาล่ะ คราวนี้ก็ถึงเวลานอนสักที







30 สิงหาคม 2558


07.00 น. : วันนี้เราได้ตื่นสายหน่อย เพราะเป็นวันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับกรุงเทพ เลยไม่มีแพลนไปเที่ยวที่ไหนอีก เตรียมตัวเดินทางกลับอย่างเดียว

08.30 น. : แพ็คของฝาก ยัดเสื้อผ้าลงกระเป๋าเรียบร้อย คราวนี้ก็ถึงเวลาอาหารเช้าระหว่างรอรถมารับแล้วจ้า 

09.30 น. : นั่งรถตู้เดินทางลงจากอ.ปายมาที่จังหวัดเชียงใหม่


15.50 น. : ถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพด้วยสายการบินแอร์เอเชีย เชียงใหม่ - ดอนเมือง


เวลาหมุนไปอย่างรวดเร็ว อีกครั้งแล้วสินะที่ต้องเดินทางกลับกรุงเทพ แต่ไม่ว่ายังไงก็ตามการเดินทางก็มักจะทำให้เราได้เรียนรู้อะไรดีๆเสมอ ทั้งมิตรภาพ ความประทับใจ และช่วยเปิดมุมมองใหม่ที่เราอาจะยังไม่เคยพบเห็น กับอ.ปายในคราวนี้ก็เช่นกัน แรกๆเราอาจจะเหมือนกับหลายคนที่ไม่เคยคิดจะเที่ยวปายในช่วงหน้าฝนมาก่อน แต่เมื่อได้ลองมาสัมผัสแล้ว เรากลับหลงรัก "ปายในสายหมอก" เข้าเต็มๆ เพราะมันคือเสน่ห์ของปายในช่วงหน้าฝนที่เราอยากให้ทุกคนมาลองสัมผัสด้วยตัวเองบ้างสักครั้ง...

03
 

เขียนโดย
Admin Chillpainai
Admin Chillpainai