bar_chart
0
favorite
0
shopping_cart
0
ยังไม่มีสินค้าในตะกร้า.

ทริปล่องใต้ 3 วัน 2 คืน บนเส้นทางสงขลา - พัทลุง สองเมืองน่ารักที่ไปพักได้ทั้งปี

calendar_month 20 มิ.ย. 2019 / stylus นางสาวฮานะ ชิลไปไหน / visibility 96,191 / ทริปตัวอย่าง


6773213ce6191d7ba326fc7c6f289a88c8760eea.jpg

"ตกหลุมรัก" คืออาการที่เราใช้ระหว่างคนกับคน แต่วันนี้เราตกหลุมรักสองเมืองน่ารัก "สงขลา" "พัทลุง" สองเมืองในภาคใต้ที่ไม่ได้มีไฮไลท์ที่น้ำทะเลใสหรือหาดทรายสีขาว แต่ไฮไลท์ของเมืองนี้คือธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ อาหารการกิน และรอยยิ้มของผู้คน ที่ทำให้เราเกิดอาการ Falling In Love หลังจากการเดินทางทริป 3 วัน 2 คืน บนเส้นทางสงขลา พัทลุง

ใครที่อยากลองมาตกหลุมรักสองเมืองน่ารักแห่งนี้กันสักครั้ง ก็ลองตามไปชมการเดินทางนี้กันเลย

คำเตือน : ระวังอาการ สงขลา&พัทลุงแอดดิคท์ ที่จะเกิดขึ้นระว่างการเดินทางทริปล่องใต้ 3 วัน 2 คืน บนเส้นทางสงขลา - พัทลุง

95d9a589d6b979fea2636f7eb20ccb07a12f6bb0.jpg

efd34bf5492fbcbf2cf1eba3340b1f7de9ed8485.jpg

การเดินทางครั้งนี้เริ่มตอนเช้าตรู่ เราเลือกเที่ยวบินที่ออกจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่เช้าสู่สนามบินหาดใหญ่เพื่อจะได้มีเวลาเที่ยวให้เยอะที่สุด พอถึงหาดใหญ่ปุ๊บก็เช่ารถขับเข้าเมืองหาดใหญ่ก่อนเลยค่ะ จุดมุ่งหมายในเช้านี้คือร้าน Inthanin สาขาทัพธรรมชาติ เพื่อหาเครื่องดื่มที่ช่วยเพิ่มความสดชื่นในยามเช้า และไล่ความง่วงเหงาหาวนอนจากอาการตื่นเช้ามืดของเราให้ออกไป เพราะวันนี้มีแพลนตะลุยหาดใหญ่-สงขลากันทั้งวัน

ร้าน Inthanin สาขาทัพธรรมชาติ

ที่ตั้งของ ร้าน Inthanin สาขาทัพธรรมชาติ ตั้งอยู่ริมถนนนิพัทธ์สงเคราะห์ 5 ใครที่กังวลว่าจะหาที่จอดรถยากไหม หมดกังวลได้เลย เพราะมีที่จอดรถให้บริการเยอะมากๆ สามารถจอดได้ประมาณ 30 คันกันเลยทีเดียว

ตัวร้านตกแต่งสไตล์ลอฟต์โดดเด่นด้วยโทนสีเข้มและกระจกรอบตัวร้าน แบ่งเป็น 2 ชั้น มีที่นั่งให้บริการทั้งด้านในและด้านนอกร้าน จะเลือกนั่งชิลจิบกาแฟคนเดียวบนบาร์ยาวริมกระจกพร้อมชมบรรยากาศของเมืองหาดใหญ่ หรือจะเลือกนั่งเมาท์มอยกับเพื่อนในโต๊ะที่นั่งแบบ 4 คนก็ดี พร้อมกันนั้นยังมีปลั๊กและไวไฟให้บริการ

ร้าน Inthanin สาขาทัพธรรมชาติ

ที่เราชอบที่สุดคือมุมบริเวณชั้น 2 ค่ะ ด้วยการดีไซน์ของหลังคาสูงและกระจกรอบตัวร้านทำให้ร้านดูโปร่งโล่งสบายตา แม้จะอยู่บนชั้น 2 ก็ไม่รู้สึกอึดอัดเลย นอกจากนี้ยังมีห้องน้ำแยกหญิงชายที่รับประกันว่าสะอาดมากๆ ให้บริการบริเวณด้านหลังของร้านอีกด้วย

ร้าน Inthanin สาขาทัพธรรมชาติ

พอเลือกที่นั่งได้ปุ๊บก็ตรงดิ่งไปที่เคาน์เตอร์เลือกเครื่องดื่มกันก่อนเลยค่ะ เราสองคนสั่งคาปูชิโน่เย็นและเอสเพรสโซ่เย็น ตัวกาแฟหอมอร่อยมากๆ เพราะเขาใช้เมล็ดกาแฟอาราบิก้าแท้ 100 %

ร้าน Inthanin สาขาทัพธรรมชาติ

ไม่ใช่เพียงรสชาติกาแฟที่ทำให้เราติดอกติดใจ ทางร้านยังคำนึงถึงสภาพแวดล้อมด้วยการใช้แก้วไบโอคัพที่ผลิตจากพืชธรรมชาติ 100% ย่อยสลายได้โดยธรรมชาติภายใน 180 วัน และยังดีไซน์ฝาแบบไม่ต้องใช้หลอดช่วยลดขยะพลาสติก โดยสามารถยกดื่มจากฝาได้เลย

ร้าน Inthanin สาขาทัพธรรมชาติ

ส่วนใครที่ยังติดการใช้หลอดเขาก็เลือกใช้หลอดแบบ Biodegradable ที่สามารถย่อยสลายโดยธรรมชาติได้ 100% เช่นเดียวกันค่ะ ซึ่งนอกจากจะได้ทานกาแฟหอมอร่อยแล้วเรายังสามารถช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วยนะ เรียกได้ว่า ดื่มเครื่องดื่มอินทนิลแก้วเดียว ได้ทั้งความสดชื่น ได้ทั้งความกรีนไปเต็มๆ

ร้าน Inthanin สาขาทัพธรรมชาติ

ที่ตั้ง : ร้าน Inthanin สาขาทัพธรรมชาติ ถ. นิพัทธ์สงเคราะห์ 5 ต. หาดใหญ่ อ. หาดใหญ่ จ.สงขลา
เปิดบริการ : เปิดบริการทุกวันเวลา 7.00 - 19.00 น.
เบอร์ติดต่อ : 094-907-3399

GPS : https://goo.gl/maps/ZWgbTwKMSwC2ZSfc9


ได้กาแฟไปเช้านี้ก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาแล้วล่ะค่ะ แต่ท้องก็เริ่มหิวเลยตกลงกันว่าจะไปหาร้านอร่อยๆ ในหาดใหญ่ทาน เพื่อนสาวจึงปิ๊งขึ้นมาว่าเคยมาหาดใหญ่แล้วติดใจร้านติ่มซำสุดอร่อยที่ชื่อ "โชคดีแต่เตี้ยม" ร้านเด็ดร้านดังที่ใครมาที่นี่ก็ต้องไปทาน ที่ตั้งของร้านตั้งอยู่ริมถนนละม้ายสงเคราะห์ทั้งสองฝั่ง ฝั่งแรกจะเป็นโซนที่เราต้องมารับเบอร์โต๊ะและเลือกติ่มซำที่วางเรียงรายใส่ในถาดบอกเลยว่าน่ากินไปซะทุกอย่าง เผลอแพร็พเดียวหยิบกันมาซะเต็มถาดจนพี่เจ้าของร้านต้องทักว่ากินไหวเหรอหนู เราเลยตอบไปว่าสบายมากๆ ค่า

โชคดีแต่เตี้ยม

พอเลือกได้แล้วก็ยื่นถาดติ่มซำให้พี่พนักงานนำไปอุ่น แล้วเราก็เดินสวยๆ ไปนั่งรอที่ตัวร้านฝั่งตรงข้าม หรือใครอยากจะนั่งฝั่งนี้ก็ได้ค่ะ แต่ที่นั่งค่อนข้างน้อย อีกฝั่งหนึ่งที่นั่งจะเยอะกว่า พอมาถึงโต๊ะก็สั่งเครื่องดื่มที่มีทั้งกาแฟ ชา ร้อนเย็น น้ำสมุนไพรและบะกุ๊ดเต๋ ซึ่งเป็นเมนูดังของร้าน ยัยเพื่อนสาวเชียร์ใหญ่ว่าเธอต้องกินบะกุ๊ดเต๋ของร้านนี้เพราะมันดีงามมากๆ

โชคดีแต่เตี้ยม

นั่งรอไม่นานพี่พนักงานก็ยกทุกอย่างมาเสิร์ฟตรงหน้า อยากจะร้องโอ้โหววววว ให้ยาวไปถึงยะลา ทำไมมันน่ากินแบบนี้ ทั้งขนมจีบ ฮะเก๊า ซาลาเปาไส้หมูแดง ไส้ครีมลาวา ราคาเริ่มต้นเข่งละ 20 บาทเท่านั้น ส่วนบะกุ๊ดเต๋ก็เลอค่าไม่แพ้กัน ดูจากสีน้ำซุปตอนแรกนึกว่าจะเค็มแต่พอกินเข้าไปคำแรกไม่เค็มเลยอ่ะแกรรร หอมอร่อย รสชาติกำลังดี ซดเปล่าๆ ได้เลยไม่ต้องมีข้าว ตัวเนื้อหมูก็ใส่ทั้งซี่โครง หัวหมู หางหมูต้มจนเปื่อยกลายเป็นเนื้อคอลลาเจนแทบจะละลายในปาก และยังมีเห็ดหอม เห็ดเข็มทอง ฟองเต้าหู้ ชามนี้จริงๆ กินได้ 3 คนเลยก็ยังไหว

โชคดีแต่เตี้ยม

ที่ตั้ง : โชคดีแต่เตี้ยม 58/25 ซ.ละม้ายสงเคราะห์ 1 สงขลา
เปิดบริการ : ทุกวันเวลา เวลา 6.00-12.00 น. และ 17.00-22.00 น.
เบอร์ติดต่อ : 081-276-6251
GPS : 
https://goo.gl/maps/7MJ81NrUNYFjESJWA


เมื่อท้องอิ่มแล้วก็ไปตะลุยเที่ยวในตัวเมืองหาดใหญ่กันต่อ เพื่อนสาวชวนไปนั่งเคเบิลคาร์เธอบอกว่าอารมณ์เหมือนอยู่ต่างประเทศเลยนะ ซึ่งเคเบิลคาร์ นครหาดใหญ่แห่งนี้เป็นเคเบิลคาร์ที่แรกและที่เดียวในเมืองไทย ตั้งอยู่บนยอดเขาคอหงส์ ทางขึ้นของเคเบิลคาร์ต้องขับรถขึ้นไปค่ะ ทางค่อนข้างชันแต่ถนนดีทีเดียวเลยทำให้ขับรถไม่ยากมาก และความสูงของภูเขาจากระดับน้ำทะเลอยู่ที่ประมาณ 371 เมตรเท่านั้น ด้านบนจะเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมงคลมหาราช พระพุทธรูปประจำเมืองหาดใหญ่ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางห้ามญาติมีความสูงถึง 19.90 เมตร ตั้งตระหง่านงดงามหันพระพักตร์ไปทางเมืองหาดใหญ่ และยังมีจุดชมวิวที่สามารถชมวิวพระอาทิตย์ลาลับหลังทิวเขาโดยมีแบ็คกราวด์เป็นเมืองหาดใหญ่ได้อย่างสวยงาม

พระพุทธมงคลมหาราช

เสียดายว่าวันนี้เรามาตอนบ่ายจึงไม่สามารถนั่งชมพระอาทิตย์ตกได้ แต่คราวหน้าถ้าได้มาเยือนหาดใหญ่อีกครั้งต้องไม่พลาดแน่นอนค่ะ

เคเบิลคาร์

หลังจากขอพรพระพุทธมงคลมหาราชและถ่ายรูปกับจุดชมวิวกันแล้วก็ถึงเวลาไปนั่งเคเบิลคาร์กันค่ะ ซึ่งเคเบิลคาร์ของที่นี่สามารถนั่งได้สูงสุด 8 คน ระยะทางไม่ไกลมากประมาณ 525 เมตร ตัวกระเช้าดูแน่นหนาปลอดภัยมีกล้องวงจรปิดภายในกระเช้าทุกตัว

เคเบิลคาร์ หาดใหญ่

กระเช้าค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากสถานีแรกผ่านภูเขาเบื้องล่างที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้มากมาย ซึ่งถ้าไม่ได้นั่งกระเช้ามาจะมีถนนเล็กๆ ที่สามารถขับรถขึ้นไปได้ด้วยค่ะ แต่ทางค่อนข้างชันเลยทีเดียว และจากกระเช้าเรายังสามารถมองเห็นวิวเมืองหาดใหญ่ได้อย่างสวยงาม บรรยากาศตอนนี้ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งกระเช้านองปิงฮ่องกงเลยล่ะค่ะ

ใช้เวลาประมาณ 3 นาที ก็มาถึงสถานีฝั่งตรงข้าม ด้านบนเป็นที่ประดิษฐานของศาลท้าวมหาพรหมและสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย สังเกตว่าที่นี่ค่อนข้างได้รับความนิยมในหลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเพราะมีนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียและสิงคโปร์เชื้อสายจีนมากราบไหว้มากมายเลยล่ะค่ะ พร้อมกับเสียงประทัดขอพรที่ดัง โป้ง ปั้ง อยู่ตลอดเวลา

เคเบิลคาร์ หาดใหญ่

ที่ตั้ง : เคเบิลคาร์ นครหาดใหญ่ เขาคอหงส์ หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
เปิดบริการ : วันอังคาร - วันอาทิตย์เวลา 8.30 - 17.00 น.
ค่าบริการ : ชาวไทย ผู้ใหญ่    100   บาท          
เด็ก (สูงไม่เกิน 150 ซ.ม.)   50  บาท

เด็กสวมเครื่องแบบนักเรียน/นักศึกษา
และผู้ใหญ่สวมเครื่องแบบข้าราชการ   50  บาท
ชาวต่างชาติ  200  บาท
เบอร์ติดต่อ : 074-200-000
GPS : 
https://goo.gl/maps/PX17QDz5frR7VJFP8


เที่ยวเมืองใหญ่อย่างหาดใหญ่กันไปแล้วก็ถึงเวลามุ่งหน้าสู่เมืองสงขลา ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาทีเราก็มาถึงตัวเมืองเก่าของสงขลาบรรยากาศแตกต่างจากหาดใหญ่โดยสิ้นเชิง เป็นเมืองเล็กๆ สุดสงบ คนไม่พลุกพล่านเท่าไร ภายในเมืองเต็มไปด้วยตึกเก่ามากมายทำให้เราสองคนตื่นเต้นกันใหญ่เลยล่ะค่ะ เพราะบรรยากาศมันมีความคล้ายเมืองเก่าอย่างภูเก็ต แต่ความต่างคือรถราไม่ขวักไขว่และเรายังสามารถสัมผัสวิถีชีวิตของชาวสงขลาพื้นถิ่นที่ประกอบไปด้วยชาวไทย ชาวไทยเชื้อสายจีน และชาวไทยมุสลิมที่อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข

รถของเรามาหยุดตรงหน้าที่พัก ตีกเก่า 3 ชั้น ตั้งโดดเด่นอยู่บริเวณช่วงกลางของถนนนางงาม ชื่อว่าบ้านในนคร บูติกโฮเต็ล ที่พักแห่งนี้มีมิตรสหายที่สนิทของเราแนะนำว่าต้องมาพักที่นี่ให้ได้เพราะน่ารักมากมายเลยล่ะค่ะ

บ้านในนคร

บ้านในนคร ที่พักเล็กๆ ที่มีห้องพักให้เลือก 6 ห้อง และแต่ละห้องตกแต่งไม่เหมือนกันเลย เจ้าของที่พักแห่งนี้คือพี่ดนัย โต๊ะเจ อดีตลูกเรือสายการบินที่ผันตัวมาเปิดที่พักเล็กๆ แห่งนี้บนถนนนางงาม พี่ดนัยเล่าให้เราฟังว่าตนเป็นเจ้าของบ้านลำดับที่ 4 โดยเจ้าของบ้านคนแรกคือพระนิเทศโลหสถาน นักภูมิศาสตร์ชาวศรีลังกาที่เดินทางเข้ามาสำรวจเหมืองแร่ในภูเก็ตช่วงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ต่อมาในช่วงต้นรัชสมัยพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ท่านได้ย้ายมาอยู่จังหวัดสงขลาและได้เช่าบ้านแห่งนี้เป็นที่พักอาศัย กาลเวลาล่วงเลยไปบ้านหลังนี้ตกทอดไปสู่เจ้าของคนใหม่ สุดท้ายพี่ดนัยก็ได้มาพบตึกแห่งนี้ที่ประกาศขาย พี่ดนัยเลยตัดสินใจซื้อและสร้างให้ที่นี่เป็นบ้านสำหรับนักเดินทาง บอกเล่าเรื่องราวของเมืองและผู้คนของสงขลาผ่านของตกแต่งเช่น ผ้าปาเต๊ะ สัญลักษณ์ของภาคใต้ และใช้ของตกแต่งเก่าแก่ที่เจ้าของลำดับที่ 3 มอบให้ มาเพิ่มสีสันความสดใสเข้าไปปลุกให้บ้านอายุกว่า 100 ปีแห่งนี้มีลมหายใจ และพร้อมที่จะเล่าเรื่องราวของเมืองแห่งนี้ให้นักเดินทางอย่างเราฟัง

บ้านในนคร

ห้องพักที่เราเลือกเป็นห้องสีแดง โดดเด่นด้วยการตกแต่งผนังเป็นสีเข้มแบบเปลือกมังคุด ใช้ผ้าปาเต๊ะ ลายดอกไม้สีเขียวสลับแดงมาทำเป็นม่านกั้นแสง และผ้าปูเตียง ของตกแต่งในห้องพาให้ย้อนนึกถึงสมัยคุณแม่ยังสาว ทั้งโทรศัพท์แบบแป้นหมุน หรือจะเป็นแป้งตรางูแบบกระป๋องสแตนเลสที่สามารถใช้ได้จริง สิ่งละอันพันละน้อยเหล่านี้ทำให้ห้องนี้กลายเป็นห้องพักที่สวยเก๋ และมีเสน่ห์น่าค้นหา ส่วนห้องน้ำก็เซ็กซี่ไม่เบาค่ะ เพราะไม่มีประตูปิดมีเพียงม่านและมู่ลี่กั้นระหว่างห้องน้ำและห้องนอนเท่านั้น สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องก็ครบครัน ทั้ง เครื่องปรับอากาศ สัญญาณอินเตอร์เน็ตไวไฟ ตู้เย็น ตู้เสื้อผ้า น้ำดื่ม แชมพู ครีมอาบน้ำ ผ้าขนหนู และหมวกคลุมอาบน้ำ ขาดแต่ทีวีที่พี่ดนัยบอกว่าอยากให้เราได้มาซึมซับบรรยากาศของบ้านและเมืองเก่าแห่งนี้กันอย่างเต็มที่ โดยห้องพักที่นี่ทุกห้องราคา 1,500 บาทเท่านั้น พักได้ 2 คน พร้อมอาหารเช้า และยังสามารถเสริมเตียงได้ 1 คนราคา 500 บาทพร้อมอาหารเช้าเช่นเดียวกัน

บ้านในนคร

ที่ตั้ง : บ้านในนคร บูติกโฮเต็ล ถนนนางงาม อ.เมือง จ.สงขลา
ราคา : 1500 บาท
เบอร์ติดต่อ : 095-438-9323
GPS : 
https://goo.gl/maps/XRPcdavCzv4nDKa68


หลังจากเช็คอินเข้าที่พักเรียบร้อยแล้ว พี่ดนัยแนะนำว่าลองไปกินไอศกรีมชื่อดังที่ตั้งอยู่ข้างๆ กับที่พักไหม ร้านนี้ชื่อว่าร้านจิ่น กั้ว หยวน (ไอติมยิว) เปิดขายมากว่า 85 ปี ตัวร้านอยู่ใกล้บ้านในนครมากๆ ค่ะ เดินข้ามถนนมาไม่กี่ก้าวก็ถึงเลย พอเข้ามาในร้านก็เจออาม่าเจ้าของร้านรุ่นที่ 2 ยิ้มทักทาย พร้อมกับการสาละวนตักไอศกรีมวานิลลาด้านในถัง ราดด้วยไข่แดงสด และโรยด้วยผงโกโก้ กลายเป็นไอศกรีมไข่แข็งหอม มัน หวานน้อยทานถ้วยเดียวไม่เคยพอ มีให้เลือก 2 ราคาถ้วยเล็ก 20 บาท และถ้วยใหญ่ 25 บาท นอกจากนั้นยังมีกล้วยหอมลูกละ 4 บาทที่ช่วยเพิ่มความอร่อยได้อีกด้วย

ร้านจิ่น กั้ว หยวน (ไอติมยิว)

ร้านจิ่น กั้ว หยวน (ไอติมยิว)


ที่ตั้ง : ร้านจิ่นกั้วหยวน ไอติมยิว 162 ถ นางงาม ตำบล บ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา สงขลา
ราคา : 20-25 บาท
เปิดบริการ : ทุกวัน 13.00-19.30 น.
เบอร์ติดต่อ : 074-311-104
GPS : https://goo.gl/maps/V22698FQtq1qKWtL9


ทานไอติมนั่งเมาท์มอยกับอาม่าจนแดดร่มลมตกก็ถึงเวลาไปปั่นจักรยานเที่ยวภายในเมืองเก่า ซึ่งที่นี่มีภาพสตรีทอาร์ตกระจายตัวอยู่บนถนนนางงาม ถนนนครใน และถนนนครนอก สามารถปั่นจักรยานออกตามหาได้เลยค่ะ ส่วนเราโชคดีที่พี่ดนัยทำแผนที่บอกจุดที่มีสตรีทอาร์ตมาให้ไปตามหาประมาณ 15 กว่าที่ แต่ละภาพที่เราได้พบเจอล้วนสะท้อนถึงภาพสังคมและวัฒนธรรมของสงขลาออกมาได้อย่างงดงาม

สตรีทอาร์ต สงขลา

สตรีทอาร์ต สงขลา

และอีกหนึ่งจุดแลนด์มาร์คที่ต้องมาเช็คอินนั่นก็คือโรงสีแดง หับ โห้ หิ้น อดีตคือโรงสีเก่าแก่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบสงขลาที่เริ่มกิจการในปี พ.ศ.2457 โดยรองอำมาตย์ตรีขุนราชกิจการี (จุ่นเลี้ยง ลิ้มเสาวพฤกษ์) คำว่า หับ โห้ หิ้น เป็นภาษาฮกเกี้ยน มีความหมายว่าความสามัคคี ความกลมเกลียว ความเจริญรุ่งเรือง ซึ่งแต่ก่อนที่นี่ถือเป็นโรงสีขนาดใหญ่ที่ผลิตข้าวสารให้คนสงขลาและในจังหวัดใกล้เคียง รวมถึงยังส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ปารัคและอีโปในมาเลเซียอีกด้วยค่ะ แต่ต่อมาเมื่อมีโรงสีขนาดเล็กเพิ่มขึ้นก็ทำให้จำนวนข้าวเปลือกลดลง โรงสีแห่งนี้เลยเปลี่ยนมาเป็นโรงน้ำแข็งและท่าเทียบเรือประมงในเวลาต่อมา

ปัจจุบันโรงสีแดง หับ โห้ หิ้นแห่งนี้ได้รับการอนุรักษ์ซ่อมแซมจนได้รับรางวัลอนุรักษ์ศิลปะสถาปัตยกรรมดีเด่นประจำปี พ.ศ. 2554 ประเภทอาคารพาณิชย์จากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ และกลายเป็นอุทยานการเรียนรู้บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของเมืองสงขลา และเป็นศูนย์กลางจัดกิจกรรมต่างๆ ของชุมชนอยู่เสมอ ใครที่อยากมาถ่ายรูปชิคๆ พร้อมกับเรียนรู้เรื่องราวของเมืองสงขลาสามารถเข้ามาชมได้ฟรีเลยค่ะ

โรงสีแดง หับ โห้ หิ้น

ที่ตั้ง : โรงสีแดง หับ โห้ หิ้น เลขที่ 13 ถนนนครนอก  ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา
ค่าเข้าชม : ฟรี
เบอร์ติดต่อ :  074-321675 

GPS : https://goo.gl/maps/BvrgLAaMFdnkNB9X6


ในตอนเย็นเราขับรถข้ามสะพานติณสูลานนท์มุ่งตรงไปยังเกาะยอเพื่อไปทานอาหารเย็นพร้อมชมวิวพระอาทิตย์ตก แต่ระหว่างนั้นก็แวะสักการะพระนอนที่วัดแหลมพ้อ ซึ่งวัดจะตั้งอยู่ตรงสะพานติณสูลานนท์ช่วงแรกค่ะ ข้ามสะพานมาปุ๊บก็เตรียมชิดซ้ายเพื่อเลี้ยวเข้าวัดได้เลย

เมื่อเข้ามาก็พบกับความงดงามของประพุทธรูปปางปรินิพานที่องค์ใหญ่มากๆ  ตั้งอยู่ใกล้กับสะพานติณสูลานนท์และทะเลสาบสงขลา ใครแวะมาเที่ยวเกาะยออย่าลืมแวะมาสักการะกันนะคะ

วัดแหลมพ้อ

ที่ตั้ง : วัดแหลมพ้อ หมู่ 4 ตำบลเกาะยอ อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา
GPS : 
https://goo.gl/maps/eqC8L7G3M9crFrts5


สถานที่ต่อไปคือไฮไลท์ของค่ำคืนนี้ นั่นก็คือร้านมหัศจรรย์เกาะยอ ร้านอาหารทะเลวิวหลักล้านที่ทำสะพานและแพยื่นไปในทะเลสาบสงขลา ทำเลของร้านตั้งอยู่ตรงจุดที่พระอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้าแบบพอดิบพอดีเลยค่ะ และยังมีมุมมากมายให้ถ่ายรูปเพียบ

ร้านมหัศจรรย์เกาะยอ

ร้านมีหลายโซนให้เลือกทั้งโซนวีไอพีมีเครื่องปรับอากาศ โซนแพริมน้ำที่มักเต็มตลอดเวลา ขนาดตอนที่เราไปเป็นวันธรรมดาคนยังแน่นเลยล่ะค่ะ แนะนำว่าอยากได้ที่นั่งดีๆ โทรมาสำรองที่นั่งกันก่อนก็ดีนะจ๊ะ ส่วนเราแอบมาแชะภาพสวยๆ บริเวณนี้แต่ความเป็นจริงได้นั่งโซนด้านในริมฝั่งที่สามารถมองเห็นพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าได้เช่นเดียวกัน

ร้านมหัศจรรย์เกาะยอ

ในส่วนเมนูอาหารละลานตาเว่อร์เลือกไม่ถูก เลยบอกน้องพนักงานว่าจัดมาให้พี่แบบของดีของเด็ดประจำร้านเลยนะ น้องสาวหน้ามนคนเกาะยอเลยบอกว่า พี่มาเกาะยอก็ต้องมากินปลากะพงนิ ปลากะพงเกาะยอหรอยแรงที่สุดในโลกเลยนิ เราเลยบอกว่าจัดมาให้เต็มที่อยากจะรู้ว่าคำโฆษณาที่ว่าจะจริงแค่ไหน

ไม่นานอาหารก็เสิร์ฟมาเต็มโต๊ะ เริ่มจากแกงส้มปลาขี้ตังรสชาติเข้มข้นตามสไตล์แกงใต้แต่ไม่เผ็ดจนเกินไป ส่วนปลาขี้ตังเป็นปลาของเกาะยอเนื้อนุ่มอร่อย ไปกันต่อที่ปูม้าผัดผงกะหรี่ก็ดีงามมากๆ เนื้อปูสดจริงอะไรจริง ปรุงรสได้กลมกล่อม ที่เซอร์ไพรส์ที่สุดคือหมึกไข่ต้มหวาน รสชาติกำลังดีไม่หวานจนเกินไป ไข่เต็มท้อง คลุกกับข้าวสวยร้อนๆ อร่อยฟินมากๆ ส่วนเมนูยำสาหร่ายเกาะยอหรือคนที่นี่เรียกว่ายำสายเป็นรสชาติแปลกใหม่ที่เราไม่เคยทานมาก่อนค่ะ ซึ่งสาหร่ายที่ใช้เป็นสาหร่ายผมนางหน้าตาเหมือนเส้นหมี่ เวลาทานจะเสิร์ฟมาพร้อมใบชะพลู หอมแดง พริก ทานคล้ายๆ เมี่ยงเลยค่ะ รสชาติตัวสาหร่ายกรุบๆ มีความมันจากกะทิ และมีกลิ่นหอมของถั่วทานเพลินมากๆ ส่วนเมนูไฮไลท์ของมื้อนี้ยกให้ปลากะพงที่เลาะเนื้อแล้วนำไปทอดกรอบ แยกปรุงเป็น 2 เมนูเป็นเมนูพริกเกลือกับยำ ที่อร่อยจริงๆ ตามที่น้องพนักงานบอกเลยล่ะค่ะ ตัวเนื้อปลามันนุ่มอร่อยมากๆ และรับรู้ได้ถึงความสด ละมุนลิ้นตั้งแต่คำแรกยันคำสุดท้ายใครอยากท้าพิสูจน์แนะนำว่าเดินทางมาลองชิมกันได้เลยที่เกาะยอแห่งนี้ ส่วนราคามื้อนี้หมดไปไม่กี่ร้อย (ไม่กี่ร้อยก็ถึงสามพันแล้วล่ะจ้า 555)

ร้านมหัศจรรย์เกาะยอ

ที่ตั้ง : ร้านมหัศจรรย์เกาะยอ ตำบลเกาะยอ อำเภอเมืองสงขลา จ.สงขลา
เปิดบริการ : ทุกวัน 11.00-22.00 น.
เบอร์ติดต่อ : 095-440-3111
GPS : 
https://goo.gl/maps/kXi5DXWPtzssUmph8


8f666680c81240ca53dfaf621c803356fd6f3804.jpg

เช้าวันที่สองทานอาหารเช้าที่บ้านในนคร กับเมนูข้าวต้มไก่ โรตีหวาน และผลไม้ทานเสร็จแล้วก็ยังรู้สึกว่าขอเติมอะไรใส่ท้องอีกสักทีน่า เลยเช็คเอาท์ฝากกระเป๋าไว้ที่ที่พักแล้วเดินไปกินของเด็ดของดีแห่งเมืองสงขลา นั่นก็คือข้าวสตูของร้านเกียดฟั่ง (โกยาว) ตั้งอยู่บนถนนนางงามอยู่ระหว่างศาลเจ้าพ่อหลักเมืองและศาลเจ้าพ่อกวนอู

ร้านเกียดฟั่ง (โกยาว)

ร้านนี้เป็นอีกหนึ่งร้านเก่าแก่ที่เปิดให้บริการมา 80 กว่าปี  ซึ่งข้าวสตู เกียดฟั่งนั้นเป็นอาหารที่ผสมสาน 4 ชนชาติ ได้แก่ อังกฤษ อินโดนีเซีย จีน ไทย มีการปรับสูตรให้มีรสชาติเฉพาะตัวโดยใช้กะทิแทนเนย มีเมนูให้เลือกทั้งสตูหมู สตูไก่ เครื่องใน ตัวสตูตุ๋นสามชั่วโมงน้ำซุปหอมมากๆ รสกลมกล่อมเวลาทานจะทานคู่กับน้ำจิ้มที่ใส่กระเทียมกับพริก รสเปรี้ยวๆ หวานๆ เค็มๆ เผ็ดนิดๆ บอกคำเดียวว่าเริ่ด และยังมีหมูแดง หมูกรอบ ที่กรอบนอก แทรกมันเนื้อนุ่มจิ้มกับน้ำจิ้ม  และยังมีซาลาเปาลูกบิ๊กไซส์ไส้หมูไข่ต้ม ไส้ครีม และถั่วดำลูกละ 35 บาท ไซส์กลาง 20 บาทแต่จะเริ่มขายตอน 10 โมงเช้านะคะใครแวะมาสงขลาลองแวะมาทานกันนะคะ

ร้านเกียดฟั่ง (โกยาว)
ที่ตั้ง : เกียดฟั่ง 120 ถ.นางงาม ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา สงขลา
ราคา : ข้าวสตูเริ่มต้นชุดละ 60 บาท
เปิดบริการ : ทุกวัน 7.00-13.00 น. (ปิดวันพระ)
เบอร์ติดต่อ :074 311 998
GPS: 
https://goo.gl/maps/Byut8GyKa8LAHcqK6


เติมอาหารยามเช้ากันจนอิ่มแปล้ก็ถึงเวลาไปเก็บตกที่เที่ยวต่างๆ ในสงขลากันต่อค่ะ จุดหมายต่อไปของเราคือเขาตังกวน จุดชมวิวของเมืองสงขลาที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 105 เมตร แต่ไม่ต้องเดินขึ้นให้เมื่อยนะคะ เพราะมีบริการลิฟต์ที่พาเราสู่ยอดเขาได้เลย แต่ถ้าใครอยากออกกำลังกายก็มีบันไดให้เดินขึ้นไปด้วยค่ะ

ส่วนสาวทางราบไม่หวั่นทางชันไม่สู้อย่างเราก็ขอโดยสารลิฟต์ดีกว่าค่ะ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 นาทีก็มาถึงยอดเขาแล้ว

เขาตังกวน

ด้านบนเขาตังกวนประดิษฐานพระธาตุเจดีย์หลวง อายุเก่าแก่คู่เมืองสงขลามากว่า 200 ปี และบริเวณรอบเจดีย์จะแบ่งเป็น 6 ซุ้ม ประดิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย ได้แก่ พระสยามเทวาธิราช พระพรหม  หลวงพ่อทวด องค์พระบรมรูป ร. 5 และพระพุทธชินราช ให้เราได้สักการบูชา

เขาตังกวน

บริเวณหลวงพ่อทวดจะมีจุดชมวิวที่เราสามารถมองเห็นตัวเมืองสงขลาและบรรยากาศของเมืองสองทะเลซ้ายขวา นั่นก็คือทะเลสาบสงขลา และอ่าวไทยได้อย่างสวยงามมากๆ ค่ะ

เขาตังกวน

จากบริเวณจุดชมวิวมีป้ายชี้ไปทางพลับพลาที่ประทับรัชกาลที่ 4 (ศาลาพระวิหารแดง) ศาลาแห่งนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินขึ้นไปนมัสการพระเจดีย์บนยอดเขาตังกวน ตัวศาลาสร้างในแบบสถาปัตยกรรมยุโรป ก่อด้วยอิฐถือปูน ทาสีแดงและขาว หน้าบันประดับลายปูนปั้นรูปช้างสามเศียรภายใต้พระมหามงกุฎ

เขาตังกวน

ที่ตั้ง : เขาตังกวน ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา
สถานีลิฟต์เปิดบริการ : ทุกวันเวลา 8.30-17.30 น.
ค่าบริการ : ผู้ใหญ่ 30 บาท เด็ก 20 บาท
เบอร์ติดต่อ : 074-316330
GPS : 
https://goo.gl/maps/ifKXnS9keHF3RdEc7


ก่อนจะโบกมือลาสงขลามุ่งหน้าไปยังพัทลุงเราก็มาแวะแชะภาพสวยๆ กันที่วงเวียนเช็คชื่อ ตั้งอยู่สุดถนนชลาทัศน์ ที่มาของวงเวียนเช็คชื่อเชื่อว่าใครที่มาสงขลาต้องมาวนรถที่นี่พร้อมกับพูด (ชื่อตัวเอง)...มาค่ะ ซึ่งจริงๆ แล้วประติมากรรมกลางวงเวียนแห่งนี้ชื่อว่าประติมากรรมคนอ่านหนังสือสร้างโดยอาจารย์มนตรี สังข์มุสิกานนท์  เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ของคนในสงขลา แต่ต่อมากลายเป็นความเชื่อสุดคิวท์ที่วัยรุ่นชาวสงขลามักจะมาตะโกนชื่อตัวเองกันที่วงเวียนแห่งนี้ เพื่อนๆ คนไหนที่ได้แวะมาอย่าลืมไปเช็คชื่อกันด้วยนะคะ

วงเวียนเช็คชื่อ

ที่ตั้ง : วงเวียนเช็คชื่อ สุดถนนชลาทัศน์ ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา
GPS : 
https://goo.gl/maps/QYyDEw2LKX1LdvDj8


และแลนด์มาร์คที่สุดท้ายของสงขลาที่ถ้าไม่ได้มาเดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึงสงขลานั่นก็คือ "นางเงือกทอง" ริมหาดสมิหลาที่อยู่คู่สงขลามากว่า 50 ปี ไม่นานมานี้เราเพิ่งเห็นข่าวหน้าใจหายว่านางเงือกทองได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ลอบวางระเบิด แต่ข่าวดีก็คือนางเงือกได้รับการซ่อมแซมอย่างรวดเร็วปัจจุบันจึงกลับมานั่งสวยๆ สางผมอยู่ริมหาดสมิหลาเหมือนเดิมแล้วค่ะ วันนี้เลยมาทักทายนางเงือกและแอบขอพรให้เราได้กลับมาเมืองน่ารักแห่งนี้กันอีกครั้ง

นางเงือกทอง

ที่ตั้ง : นางเงือกทอง  ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา

GPS : https://goo.gl/maps/MRinhdg24bUw9ecx8


ถึงเวลาโบกมือลาสงขลาอย่างเป็นทางการแล้วมุ่งหน้าสู่อีกหนึ่งจังหวัดน่ารักเมืองพัทลุงกันค่ะ โดยจากหาดสมิหลาเราขับรถไปทางถนนแหลมสนแล้วใช้บริการแพขนานยนต์เพื่อข้ามทะเลสาบสงขลาซึ่งข้อดีคือไม่ต้องย้อนขับไปขึ้นสะพานติณสูลานนท์ราคาค่าบริการเพียง 20 บาทต่อคันเท่านั้น มีให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 5.00 - 22.00 น. กันเลยค่ะ

จากนั้นเราขับรถเข้าสู่ถนนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ที่เราขอยกให้เป็นถนนสวยที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทยกันเลยทีเดียว เพราะมีความยาวถึง 14.130 กิโลเมตรจากอำเภอระโนด จังหวัดสงขลา ทอดยาวไปจนถึงอำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ถนนพาเราเลียบผ่านทะเลสาบสงขลา และมุ่งหน้าสู่ทะเลน้อย ยิ่งในช่วงที่เข้าสู่ทะเลน้อยตัวถนนจะยกระดับขึ้นจนเป็นเหมือนสะพานลอยอยู่บนผืนน้ำที่ทั้งสองข้างทางเป็นป่าพรุ ทุ่งหญ้า ทางขวาคือทะเลน้อย ส่วนทางซ้ายคือทะเลสาบสงขลา ระยะทางช่วงนี้ยาวประมาณ 5 กิโลฯ กว่าๆ แต่สวยจับใจเรามากๆ เลยล่ะค่ะ ระหว่างทางจะมีจุดให้เราได้จอดรถถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ทั้งสองข้างทางพร้อมกับชมฝูงควายน้ำที่กำลังนอนแช่น้ำลอยคอ เล็มหญ้า แค่ได้ทอดสายตาชมวิวข้างทาง สูดอากาศดีๆ ให้เต็มปอด เพียงเท่านี้ก็รู้เลยว่าความสุขที่เราตามหามันอยู่ตรงหน้านี้เอง

ถนนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา

ถนนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา

ถนนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา

เราใช้เวลาขับรถชมสองข้างทางกันจนพอใจแล้วก็มุ่งตรงไปยังที่พักของเราในค่ำคืนนี้ ศรีปากประ บูตีค รีสอร์ท ที่พักบรรยากาศเหมือนหมู่บ้านชาวประมงเน้นใช้วัสดุจากธรรมชาติ ตั้งอยู่ที่บ้านปากประ ริมทะเลสาบสงขลา

ศรีปากประ บูตีค รีสอร์ท

ศรีปากประ บูตีค รีสอร์ทจะแบ่งเป็น 2 เฟสค่ะ เฟสแรกจะเน้นวัสดุจากไม้และมีร้านอาหารวิวยอซึ่งเป็นร้านอาหารไฮไลท์ของที่นี่ ส่วนเฟสที่สองที่เรามาพักกันในวันนี้จะตกแต่งโมเดิร์นกว่า โดยตัวที่พักจะเป็นปูนสีขาว ดีไซน์หลังคาทรงสูงมุงด้วยตับสิเหรง หรือใบเหรงและโซนนี้จะมีจุดเด่นคือสระว่ายน้ำระบบเกลือที่สามารถแช่ตัวชมวิวยอยักษ์ได้ด้วย

ห้องพักของเราคืนนี้คือห้องยอลากูนเป็นห้องที่วิวสวยที่สุดเพราะหันหน้าไปยังทะเลสาบสงขลาเปิดประตูมาก็พบกับยอยักษ์ได้จากห้องนอนกันเลย ภายในห้องกว้างขวางตกแต่งสไตล์โมเดิร์นผสมกับทรอปิคัลเตียงนุ่มดูดวิญญาณมากๆ สิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้องมีทั้งทีวี มินิบาร์ กระเป๋าและหมวกสานจากผักตบชวา ผ้าถุงและผ้าขาวม้าเก๋ๆ ที่สามารถนำไปคลุมตอนใส่ชุดว่ายน้ำ หรือนำมานุ่งเก๋ๆ ใส่เดินถ่ายรูปในรีสอร์ทก็ได้ค่ะ พร้อมกันนั้นยังมีเวลคัมฟรุ๊ตเป็นผลไม้สดๆ ต้อนรับเราในห้อง

ศรีปากประ บูตีค รีสอร์ท

หลังจากเช็คอินเรียบร้อยแล้วความหิวก็เข้ามาทักทาย เราไปทานมื้อกลางวันกันที่ห้องอาหารลาโพ ห้องอาหารของรีสอร์ทให้บริการอาหารเช้าและอาหารอร่อยตลอดวัน โดยมื้อนี้เราสั่งแกงส้มปลากะพง ต้มกะทิวุ้นเส้นกุ้ง น้ำพริกกะปิ ปลาดุกร้า หมี่ลำปำ ยำปลาลูกเบร่ ต้มปลานิลซึ่งล้วนเป็นอาหารที่มาจากพื้นถิ่น โดยเฉพาะปลาดุกร้าของดีของเมืองพัทลุงนั้นรสชาติจะเหมือนปลาเค็มคล้ายปลาอินทรีย์ทานกับหอมแดง พริกขี้หนู บีบมะนาวหน่อยๆ โอยยย อร่อยมากๆ ส่วนของหวานเป็นสาคูต้น ของอร่อยชื่อดังจากพัทลุงเช่นเดียวกัน ตัวแป้งนั้นทำจากต้นสาคูแท้ๆ นำไปกวนจะได้สีน้ำตาลน่ากินมากๆ ราดด้วยหัวกะทิ หอม หวาน มัน

ศรีปากประ บูตีค รีสอร์ท

หลังจากทานอาหารกลางวันกันแล้วเราก็ไปพักผ่อนเปลี่ยนชุดว่ายน้ำตัวจิ๋วมาลงเล่นน้ำที่สระน้ำเกลือของรีสอร์ท พร้อมชมวิวสวยๆ ยามเย็นของทะเลสาบสงขลาไปด้วย ความสุขแบบนี้อยากเก็บใส่กระเป๋าใบใหญ่แล้วหิ้วกลับไปแจกจ่ายให้เพื่อนๆ ในกรุงเทพฯ เพื่อบอกพวกเขาว่าพัทลุงนั้นดีงามน่ามาตามรอยแค่ไหน

ศรีปากประ บูตีค รีสอร์ท

ที่ตั้ง : Sripakpra Boutique Resort ตำบลพนางตุง อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง
ราคา : เริ่มต้น 2200-4300 บาท
เบอร์ติดต่อ : 061-149-9494
GPS : https://goo.gl/maps/iSXvHQjnz5Uehnxq6


เล่นน้ำ พักผ่อนกันจนหายเหนื่อยล้าก็ถึงเวลากินกันอีกแล้ว อาหารเย็นมื้อนี้เราเลือกมาทานที่วิวยอซึ่งตั้งอยู่ที่เฟสแรก การเดินทางจะขับรถจากเฟสที่สองมาที่นี่ก็ได้หรือจะนั่งรถสามล้อพ่วงของทางรีสอร์ทมาก็ได้ค่ะ อยู่ไม่ไกลกันมาก ขับรถไม่ถึง 2 นาทีก็ถึงแล้ว

พอมาถึงร้านเลือกนั่งไม่ถูกเลยล่ะค่ะ เพราะวิวสวยทุกมุม ความดีงามของร้านนี้คือวิวทะเลสาบสงขลา พร้อมยอยักษ์มากมายที่เรียงรายอยู่ในทะเลสาบ ซึ่งยอยักษ์เหล่านี้ไม่ใช่ของตกแต่งที่สร้างให้นักท่องเที่ยวมายืนถ่ายรูป แต่เป็นสิ่งที่แสดงถึงวิถีชีวิตจริงๆ ของชาวบ้านปากประ ทะเลน้อย ที่มียอยักษ์เป็นเครื่องมือในการจับปลาหาเลี้ยงครอบครัว

ร้านวิวยอ

อาหารมื้อนี้เรายังคงสั่งอาหารอร่อยพื้นถิ่น อาทิ ปลาช่อนหลงพรุ หรือปลาช่อนลุยสวน ซึ่งที่ทะเลน้อยนั้นเต็มไปด้วยป่าพรุปลาช่อนที่นำมาทำเป็นปลาช่อนที่จับจากป่าพรุ เนื้อสดอร่อยเครื่องจัดจ้านโดนใจ ต่อด้วยปลาหมอคั่วเกลือ เป็นปลาหมอที่จับได้จากทะเลน้อยเช่นเดียวกัน โดยนำปลาหมอทั้งตัวแบบไม่ขอดเกล็ดมาทอดกับเครื่องสมุนไพร ทั้ง ขมิ้น ตะไคร้ ข่า ใบโหระพา และมะกรูด ทานกับน้ำจิ้มซีฟู้ดเด็ดจริงอะไรจริง ไปต่อกับตำรากบัวใส่กุ้งสด เสิร์ฟมาพร้อมข้าวเกรียบฟักทอง สารภาพว่าตอนแรกเราคิดว่าไม่น่าเข้ากันแต่พอได้ทานเท่านั้น โอยยย มันช่างเข้ากันสุดๆ เพราะตัวส้มตำรากบัวจะกรุบๆ รสชาติ เปรี้ยว เผ็ด หวานนิดๆ เวลาทานกับข้าวเกรียบมันจะเพิ่มความกลมกล่อมจากความมันของตัวข้าวเกรีบเข้าไปได้อารมณ์เหมือนกินส้มตำกับแคปหมูเลยล่ะค่ะ และที่ติดใจมาตั้งแต่กลางวันก็คือเมนูปลาดุกร้า มาคราวนี้เราเลยขอสั่งมากินอีก แถมยังขอซื้อปลาดุกร้าเอาไปเป็นของฝากกลับบ้านอีกด้วย อย่าเพิ่งอิ่มเพราะเรายังมีแกงกะทิหอยขมใบชะพลู ต้มกะทิสายบัวกุ้งสด ยำปลาลูกเบร่ แกงส้มปลากดเขาคัน ซึ่งจะใส่ลูกเขาคันหรือเถาคัน มีรสเปรี้ยวคล้ายๆ องุ่นป่า เป็นความเปรี้ยวที่หรอยแรงมากๆ และฟินนาเล่ไปกับกุ้งแม่น้ำบิ๊กเบิ้มไซส์ 5 ตัว/ 1 กิโลฯ เนื้อกุ้งสดอร่อยหัวกุ้งอัดแน่นไปด้วยมันเยิ้มๆ เหยาะน้ำจิ้มซีฟู้ดไปหน่อยก็จะพบสวรรค์ที่กำลังคลุกเคล้ากันอยู่ในปากแล้วล่ะค่ะ

ร้านวิวยอ

ที่ตั้ง : ร้านวิวยอ ภายใน Sripakpra Boutique Resort ตำบลพนางตุง อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง
เปิดบริการ : ทุกวันเวลา 10.00-22.00 น.
เบอร์ติดต่อ : 062-232-5201
GPS : https://goo.gl/maps/iCXwqW3oGwSDJFA9A



c1fce3aa99ccb8b00a8033b0dee0b1a1ad1ad82c.jpg

หลังจากทานอาหารเสร็จเมื่อคืน เราได้ติดต่อเรือทัวร์ทะเลน้อยค่ะ สามารถติดต่อได้ที่ล็อบบี้ของที่พักได้เลย ค่าเรือลำละ 1200 บาท โดยมีกำหนดมารับเราตอน 5.45 น. ของเช้านี้

ท่าเรือสำหรับลงเรือจะอยู่ติดกับสระว่ายน้ำของรีสอร์ทเลยค่ะ พอถึงเวลาก็มีพี่บ่าวมาลอยเรือรอเราตั้งแต่เช้ามืด ฟ้าตอนนี้ยังไม่สว่าง เราเลยลุ้นกันว่าขอให้เช้านี้ท้องฟ้าสดใสจะได้พบกับพระอาทิตย์ลูกโตๆ ที่โผล่พ้นขอบฟ้า

ทะเลน้อย

ราวกับว่าคำอวยพรของเราได้ผล ระหว่างที่ลอยเรือชมยอยักษ์บริเวณหน้าที่พักก็พบกับคุณพระอาทิตย์ที่กำลังโผล่ขึ้นมาทักทาย พร้อมไปกับการเริ่มต้นวันใหม่ของเหล่าบรรดาพี่ๆ ชาวประมงที่มาคอยยกยอยักษ์อันใหญ่ เราเลยขอยกให้ภาพความงดงามของเช้าวันนี้นั้นเป็นยามเช้านึงที่สวยงามที่สุดในชีวิตที่เราได้พบมากันเลย

ทะเลน้อย

จากนั้นพี่บ่าวพาเราล่องเรือไปชมความสวยงามของจุดอื่นๆ เช่น ต้นลำพูที่เรียงรายอยู่ในน้ำเป็นภาพที่สวยงามแปลกตา ล่องผ่านลำคลองสายเล็กๆ ที่เป็นเส้นทางทะลุไปยังทะเลน้อย เพื่อไปตามหาบึงบัวแดงที่กำลังเบ่งบานรับแสงแรกในยามเช้า แต่สิ่งที่เสียดายคือไม่ได้พบน้องควายน้ำตัวเป็นๆ ใกล้ๆ สักครั้ง เฝ้ารอทริปหน้าต้องกลับมาเซย์ไฮให้ได้อย่างแน่นอน


89ee82b9b9f0c1b6ae17deea6c1ecd3ca7c8ee52.jpg


เราใช้เวลาล่องเรือประมาณ 2 ชั่วโมงพี่บ่าวก็พามาส่งที่รีสอร์ท เพื่ออาบน้ำ เตรียมทานอาหารเช้า และเช็คเอาท์ออกจากที่พักไปยังที่เที่ยวที่สุดท้ายในทริปนี้นั่นก็คือนาโปแก

นาโปแก

นาโปแก แปลว่านาของปู่ ที่เที่ยวที่กำลังมาแรงในพัทลุง ที่นี่ไม่ใช่เพียงสถานที่ถ่ายรูปสวยๆ แต่ยังเป็นศูนย์การเรียนรู้วีถีเกษตรชาวนาไทย และวัฒนธรรมพื้นบ้านของภาคใต้ ทั้งหนังตะลุง มโนราห์ ซึ่งที่นี่เริ่มต้นด้วยแนวคิดอยากให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้ภูมิใจในอาชีพของชาวนาไทย ของพี่ทศพล รักใหม่ตัวแทนชาวนาไทยที่มองเห็นว่าในปัจจุบันอาชีพทำนาเริ่มลดลงส่งผลให้อาชีพอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการทำนา เช่นการจับปลา การทำจักสาน วัฒนธรรมต่างๆ เริ่มเลือนหายไป จึงเกิดนาโปแกแห่งนี้ขึ้นมาแบ่งเป็นฐานการเรียนรู้ต่างๆ ทั้งหมด 7 ฐาน ที่จะทำให้เราได้เรียนรู้วิธีการทำนา ตั้งแต่ เมล็ดข้าวพันธุ์ต่างๆ ของพัทลุงที่มีมากกว่า 38 สาย พันธุ์ การดำนา การหว่าน การไถนาด้วยควาย การเก็บเกี่ยว การสีข้าว และยังมีมุมถ่ายรูปสวยๆ อีกมากมาย ส่วนใครที่เดินแล้วเหนื่อยสามารถมานั่งชิลพักทานกาแฟและทานอาหารอร่อยทั้งอาหารพื้นบ้านและอาหารฮาลาลภายในนาโปแกได้ด้วยค่ะ

นาโปแก

ที่ตั้ง : นาโปแก บ้านสวน ต.มะกอกเหนือ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง
เข้าชม : ฟรี
เปิดบริการ : วันจันทร์ - วันศุกร์ เวลา 8.30-18.00 น., เสาร์ - อาทิตย์ เวลา 8.30-18.30 น.
เบอร์ติดต่อ : 062-591-6632
GPS :
 https://goo.gl/maps/iccZzfgJk6iS3eMd9


จบไปแล้วค่ะทริป 3 วัน 2 คืนบนเส้นทางสองเมืองสุดน่ารักสงขลา-พัทลุง บอกเลยว่าหลังจบทริปนี้เกิดอาการคิดถึงเมืองเก่าสงขลา คิดถึงความน่ารักของพัทลุง คิดถึงรอยยิ้มของผู้คน และรสชาติอาหารใต้ที่หรอยแรงงง จนอยากกลับไปอีก เรารับรองเลยว่าถ้าคุณได้ไปสัมผัสสองเมืองนี้คุณจะเกิดอาการเดียวกับเรา นั่นก็คือตกหลุมรัก ซึ่งยาใดก็ไม่ช่วยให้หายเท่ากับการแพ็คกระเป๋าเดินทางสู่เมืองน่ารักแห่งนี้อีกครั้งและอีกครั้ง....





เขียนโดย
นางสาวฮานะ ชิลไปไหน
นางสาวฮานะ ชิลไปไหน
close